เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ

ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog


27 July 2010

track | laura marling: "hope in the air" (2010)


Laura Marling: "Hope In The Air"
from I Speak Because I Can (2010)

Laura Marling อายุเพียงแค่20ปีเท่านั้น แต่ทำเพลงออกมาได้ราวกับผลงานของศิลปินรุ่นใหญ่ -- อัลบัม I Speak Because I Can เป็นอัลบัมที่แน่นด้วยคุณภาพเน้นๆ ภาพที่ออกมา...ดูเป็นงานขลังๆโฟล์คแบบดั่งเดิมแท้ๆ -- Hope In The Airเป็นแทร็คที่ผมเสพติดมากที่สุดในช่วยนี้ มันมีทุกอย่าง เกากีต้าร์โปร่งได้ทรงความขลัง และ เนื้อเพลงที่ลึกชวนขบคิดจน ผ่านการร่ายมนต์สะกิดจากหนึ่งในเสียงร้องที่เยี่ยมที่สุดของLaura Marling เกินวัย20ปี ขอเชียร์ให้ได้รางวัลMercury Prize

ตัวอย่างเนื้อเพลง: "why fear death / be scared of living / oh, hearts are small and ever thinning / there is no hope ever of winning / oh, why fear death be scared of living" /

26 July 2010

track | spiritualized: "ladies and gentlemen we are floating in space" (1997)


Spiritualized: "Ladies and Gentlemen We Are Floating in Space"
from Ladies and Gentlemen We Are Floating in Space (1997)
also from live in Reykjavík (2010)

อีกครั้งที่ผมได้สำนึกว่า เพลงที่ยอดเยี่ยม หลายครั้งก็มาจากอะไรที่แสนเรียบง่าย อีกเหตุผลที่เพลงป็อปที่ดี...สามารถอยู่เหนือการเวลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์จำนวนมากมายทั่วโลก และซึมซับเข้าไปในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ -- "Ladies and Gentlemen We Are Floating in Space" คือเพลงที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพราะเมโลดี้แสนcliche ไม่ใช่เพราะคอร์ดแสนเบสิค ไม่ใช่เพราะชื่อเพลงสุดอลังการ ไม่ใช่เนื้อเพลงที่มีแค่ไม่กี่ประโยค แต่เพราะทุกอย่างรวมกันอย่างถูกที่ถูกเวลา

คลิปด้านบนคือการแสดงสดที่ Reykjavík ประเทศIceland ที่พวกเขาควบไปกับเพลงAnything More ...ยังไงพอ อดทนรอฟังไปถึงช่วงท้ายเพลง ท่านจะพบเซอร์ไพรซ์จากบทเพลงหวานๆสุดคลาสสิค -- ผสมผสานอย่างสวยงามลงตัวเหลือเกิน

24 July 2010

track | karl x johan: "flames" (2010)


Karl X Johan: "Flames"
from Flames (2010)

Karl X Johan ประกอบด้วยนาย Kalle J และนาย Nicolas Makelberge นำบทเพลงออร์เคสตร้าที่พวกเขาขโมยมาจากภาพยนตร์ Untouchable ตัดและแปะและประกอบออกมาเป็นบทเพลงอิเล็กโทรนิคที่แสนยิ่งใหญ่ สวยงาม และ อลังการโอ่อ่า -- Flames เป็นทั้งงานดนตรีป็อปและดนตรีเต้นรำที่ยอดเยี่ยม เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับการเติมพลังแด่นักฟังเพลงทุกท่าน ...เชื่อหรือไม่ว่า มันสามารถทำให้เพลงที่ท่านฟังต่อหลังจากฟังเพลงนี้ จะเพราะขึ้น 10% !

track | la femme: "telegraphe" (2010)


La Femme: "Telegraphe"
from vimeo.com (2010)

หลายๆสัปดาห์ก่อน วีดีโออินดี้ๆตัวนี้ผ่านเข้าตาผมมา เป็นวีดีโอแบบแก็งค์คนเก๋ๆทำตัวรั่วๆอาร์ตๆในเมืองfrenchๆ คุณภาพก็หยาบๆราวกับโฮมวีดีโอถ่ายเล่นกัน -- เพลงเป็นภาษาฝรั่งเศสเมาๆกึ่มๆ ที่ถูก "ร้อง-ผสม-บ่น"ผ่านการก้องสะท้อนๆเล็กๆพอสร้างบรรยากาศกำกวมมึนงง กลมกลืนเนื้อเดียวกับดนตรีที่แสนราบไม่ ... มันใช้แค่ซินธ์ไซคีเดลิคบางๆ และกลองที่แสนมินิมอล -- Telegraphe เป็นดั่งซาวน์แทร็คหนังสายลับฟิลม์นัวร์ที่สร้างโดยผู้กำกับอินดี้ทุนต่ำ และติดเรทx ด้วยฉากรุนแรงวาบหวิว -- (ใครหาลิ้งค์mp3ของเพลงนี้ได้ ช่วยแจ้งด้วยนะครับ)

20 July 2010

track | porcelain raft: "tip of your tongue" (2010)


Porcelain Raft: "Tip of Your Tongue"
from Gone Blind EP (2010)

Tip Of Your Tongue เป็นผลงานที่ผมรู้สึกถึงต้นขั้วที่เป็น'shoegaze' ...จากกีต้าร์ที่ส่ายสะบัดผ่านแอฟเฟคสะท้อนและก้องกังวาล แต่ยังจับเนื้อหนังของคอร์ดกีต้าร์ได้...ยังไม่ถึงกับ'ฟุ้ง' ...ฟังดูแทบจะเป็นอคูสติกกีต้าร์ด้วยซ้ำ -- ผ่านการกรองของกระบวนการแบบlo-fi ทั้งเสียงเคาะจังหวะที่แสนจะน้อยนิดและซ้ำซากไร้ชีวิต และอีกไม่กี่layerของเสียงที่ช่วยๆทำให้เพลงบางๆเพลงนี้ ฟังดูเป็นบรรยากาศหนาๆได้ -- นี่คือเพลงนี่แสนยานคาง อ้อยอิ่ง นุ่มนวล ล่องลอย ชวนฝัน และ โรแมนติก

19 July 2010

track | teeth: "see spaces" (2010)


Teeth: "See Spaces"
from See Spaces 7" (2010)

เหมือนผมจะเคยพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ของ 'ดนตรีlaptop กับ ดนตรีpunk' ในentryของ Crystal Castles --- กีต้าร์สามคอร์ดเคยเป็นตัวแทนของอะไร'ง่ายๆ' 'เถื่อนๆ' ...แต่ปัจจุบัน เอามือดีดMacBookง่ายกว่า ดีดกีต้าร์เยอะ... -- ผมสัมผัสอารมณ์ดิบๆอย่างนั้นอีกครั้งใน See Space แม้เมโลดี และ ท่วงท่าลีลาของเพลงนี้จะออกไปทางป็อปจ๋าๆ แต่เรายังสัมผัสได้ถึงการ 'ใส่คอร์ดดื่อๆ ย้ำๆ ซ้ำๆ ง่ายๆ' ซึ่งเป็นความกระแทกกระทั้งแบบฟังค์ๆที่สะใจไม่น้อย ...แต่กระนั้นความ'ลอยๆ''ชิวๆ' ในเพลงนี้ก็อาจโน้มน้าวให้เราลืมประเด็นนั้นไปได้ และเผลอมองมันเป็นเพลงธรรมดาๆ

track | ariel pink's haunted graffiti: "fright night (nevermore)" (2010)


Ariel Pink's Haunted Graffiti: "Fright Night (Nevermore)"
from Before Today (2010)

คำเดิมๆที่ถูกใช้ในดนตรียุคปัจจุบันบ่อยๆก็คือ 'ถวิลหา' ...หรือ 'ลอก'นั่นเอง --- นี่คือปี 2010 หนุ่มสาวยุคปัจจุบันเติบโตมาพร้อมกับคลังดนตรีมหาศาล จนไม่สามารถแยกแรงบันดาลใจเหล่านั้นออกจากความเป็นออริจินอลได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าตัดพ้อ ...Ariel Pink และสหาย ขโมยทุกอย่างที่คนยุค'เราๆ'เคยสัมผัส และวางทิ้งไว้เกลื่อนห้องความทรงจำ ก่อนร่างเป็นการเดินทางในโลกความทรงจำที่ผิดเพี้ยน

ซินธ์เปรี้ยวๆของ Fright Night มีทิศทางพุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่ช้า...ไม่เร็ว... แต่ไปเรื่อยๆ -- เสียงร้องประหลาดๆทำหน้าที่ตัวละครเพี้ยนๆ ที่โพล่มาตลอดเส้นทาง และทุกครั้งที่เราหันมองทิวทัศน์ด้านข้าง เราจะพบกับเศษเสี้ยวความทรงจำของยุค 70s (ที่ไม่ใช่อดีตแท้ แต่เป็นอดีตที่ถูกปรับในสมองอันอลหม่านของเพ้อถึงอดีต) ของดนตรีดิสโก้ แสงไฟวูบวาบ การ์ตูน วิดีโอเกมส์ ไตเติ้ลรายการทีวี โฆษณาเฉิ่มๆ -- มันบ้า มันเพ้อ มันเมา มันลอย มันถวิล มัน... knock! knock! on the door...three times!


18 July 2010

track | ceo: "no mercy" (2010)


CEO: "No Mercy"
from White Magic (2010)

มีไม่กี่วง ไม่กี่ศิลปินที่จะสามารถครองพื้นที่พิเศษในโลกการฟังดนตรีของข้าพเจ้าได้ และ The Tough Alliance ดูโอป็อปลูกกวาดฉ่ำๆ สามารถทำได้ อัลบัม A New Chance ของพวกเขาติดอันดับท็อปเท็นอัลบัมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบสิบปีของกระผม -- ดังนั้น CEO (หนึ่งในสมาชิกของวงนั้นแยกออกมาทำเดี่ยว) ย่อมทำให้ผมตื่นเต้นอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าถ้าท่านไม่ใช่แฟนของ ดนตรีป็อปแดนซ์ฉ่ำๆ ประเภทว่า'คนแมนๆ คนเก๋าๆ ฉันฟังเพลงอินดี้' อาจจะรู้สึกว่า "เพลงเหี้ยอะไรว่ะโคตรเฉิ่ม" ...ก็คงจะไม่เข้าใจความเจ๋งของNo Mercy -- เมโลดี้ที่แสนป็อป เนื้อร้องที่แสนจะไร้สาระ ฝังอยู่ใต้โครงสร้างของคอร์ดกีต้าร์โปร่งป็อปๆ แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้เพลงนี้ยืนอยู่ได้แล้ว -- แอฟเฟ็กและเสียงสังเคราะห์ตื่ดทั้งหลายในเพลงนี้ ไม่ได้มีความจำเลย แต่CEOใส่มันเข้าไปเพื่อประดับประดา เพื่อเพิ่มสีสัน เพื่อความวูบวาบ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ฉาบฉวย และเสี่ยงต่อการ'เฉิ่ม'มากๆ -- แต่ด้วยฝีมือป็อปเทพ No Mercy จึงเป็นแทร็กที่โคตรสนุกจริงๆ

11 July 2010

track | woods: "blood dries darker" (2010)


Woods: "Blood Dries Darker"

from At Echo Lake (2010)

At Echo Lake เป็นอัลบัมที่ผมแอบเสพติดอย่างเงียบๆ นิ่งๆ แต่ยาวนานมาหลายเดือนแล้ว -- และเหตุผลที่ว่ามันไม่ค่อยได้รับการยกย่องมาเท่าที่ควร น่าจะทำให้มันเป็น'อัลบัมที่ถูกมองข้าม' อันหนึ่งของปี (อาจเพราะ มันไม่ได้หนีจากสไตล์ในอัลบัมแรกของพวกเขาเท่าไร) -- Blood Dries Darker คือแทร็กแรกของอัลบัมนั้น มันมีทุกสิ่งที่แฟนWoodsหลงรัก ในภาพรวมมันอยู่ใต้จิตวิญญาณของดนตรีอเมริกันแบบ70sๆ (The Grateful Dead?) คงเมโลดี้แบบจิ๊กโก๋ๆไว้ แต่ลดทอนองค์ประกอบของความเป็นลูกทุ่งๆ และเพิ่มควรอู้อี้แบบดนตรีlo-fi และ alternativeเข้าไป ...ผลคือ เก๋าเหี้ยๆ เท่ห์ห่าๆ แต่ สุขุมพิลึกๆ

ปล. วีดีโอข้างบนเป็นการเล่นสดเมื่อปีที่แล้ว ถ่ายทำโดยRay Concepcion
ปล. ฟังเวอร์ชั่นสตูดิโอ จากอัลบัม ได้ที่นี่ (ไม่ต่างกันเท่าไร)

track | the clean: "anything could happen" (1981)


The Clean: "Anything Could Happen"
from Boodle Boodle Boodle EP (1981)
also from Anthology (2002)

ต้องขอบคุณวง MGMT ที่coverเพลงนี้ ทำให้ผมรู้จักวงอินดี้เก๋ๆยุค80'sจากนิวซีแลนด์นาม The Clean ที่ฟังดูอเมริกันยุค90'sได้ดิบ-เรียบ-เก๋า-กึ่มถึงแก่นยิ่งนัก ให้คอร์ดกีต้าร์ไฟฟ้าเปลือยๆเป็นโครงสร้างหลัก ด้วยทางคอร์ดแบบธรรมดา เสียงร้องแบบหน่ายๆไม่ใช้พยายามให้พลังเสียงใดๆ -- Anything Could Happenมีเมโลดี้ที่น่ารักติดหู เนื้อร้องที่ชวนปลุกใจที่มาพร้อมกับความกร้านดิบๆ ชวนนึกถึง Pavement หรือ Yo La Tengo อะไรประมาณนั้น

07 July 2010

track | monokle & galun: "happy sun" (2010)


Monokle & Galun: "Happy Sun"
from In Frame (2010)

นาย Monokle และ Galun เป็นศิลปินอิเล็กโทรนิคเก๋ๆจากรัสเซีย -- รู้แค่นั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปินนี้อีกแล้ว -- Happy Sunเป็นหนึ่งในแทร็คที่พวกเขาปล่อยในโหลดฟรีในbandcampของพวกเขา (สำหรับใครที่ไม่รู้จัก -- bandcamp คือสิ่งที่เจ๋งกว่า myspace ล้านเท่า) Happy Sun เป็นเพลงที่เต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์บิ้วเบี้ยวๆเพี้ยนๆอู้อี้ ด้วยซาวน์ที่ถูกบีบอัดซักบู้บี้เบียดเสียดซ้อนทับหลายชั้น เป็นซาวน์แบบ'เก่าๆ' ที่ไม่ได้ขี้เก็ก หรือพยายามจะ 'ชิวๆ' ...จะว่าไปก็ฟังดู'ล้ำ'ทีเดียว -- และดนตรีทั้งหมดก็เข้ากับเสียงร้องแบบ'ขี้เกียจๆ' 'เมาๆ' ได้ดีเหลือเกิน

02 July 2010

track | aeroplane + friendly fires + flight facilities: "i crave paris" (2010)


Aeroplane + Friendly Fires + Flight Facilities: "I Crave Paris"
from Aeroplane: 500th Essential Mix (2010)

คือเรื่องมันเป็นงี้ Aeroplane (ดีเจดูโอจากเบลเยี่ยม--ซึ่งปัจจุบันเหลือสมาชิกคนเดียวแล้ว) เอาเพลงของ Friendly Firesชื่อ Paris มารีมิกซ์ -- ยังไม่พอ --- ในวาระ'500th Essential Mix' Aeroplane ขโมยเสียงร้องจากเพลงของ Flight Facilities (ซึ่งคือเสียงเซ็กซี่ของ Giselle Rosselli) มาแปะๆดื้อๆ แต่ลงตัวอย่างเหนือชั้น!!

โอเค...ทีนี้ลืมประวัติเท่ห์ๆพวกนั้นไปซะ ---มามอง I Crave Paris ในฐานะเพลงป็อปแดนซ์กุ๊กกิ๊กลูกกวาดๆที่ยอดเยี่ยมเพลงหนึ่งแห่งปีกันดีกว่า -- แค่เปิดเพลงมาก็โดนกันเต็มๆแล้ว! ... "Why can't you want me like the other boys do?/They stare at me while I stare at you" ...เชี่ย ...โคตรกุ๊กกิ๊ก ...โคตรการ์ตูนตาหวาน ...โคตรหนังวัยรุ่นอเมริกันยุค80s ...โคตรสีชมพูฉ่ำๆใต้ไฟดิสโก้ ...โคตรฉากซึ้งเลี่ยนๆในหนังผู้หญิงๆซักเรื่อง -- ผมละแพ้ทางเพลงป็อปเรียบๆทางคอร์ดธรรมชาติ เนื้อเพลงตรงไปตรงมา อย่างนี้เหลือเกิน -- I Crave Paris สมควรถูกเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดสัปดาห์นี้ ในฟลอร์ทุกแห่ง หรือห้องนอนส่วนตัวของท่าน แล้วแต่ศรัทธา

I Crave Paris by Aeroplane (Official)