เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ

ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog


29 December 2010

track | james blake: "wilhelms screams" (2011)

http://29.media.tumblr.com/tumblr_le78qh9VWS1qb118bo1_500.png
James Blake: "Wilhelms Screams"
from 'James Blake' (2011)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดถึง James Blake และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่ๆ... อัลบัมเดบิวของเขาตอนนี้สามารถหาโหลดอย่างผิดกฏหมายตามอินเตอร์เน็ตได้แล้ว มันเป็นอัลบัมที่ดีมากๆ -- คืนนี้ปิดไฟ ใส่หูฟัง อยู่คนเดียวเงียบ ฟังเสียงเอื้อยของเขาใต้ดนตรีdub stepเก๋ๆ บางเบาๆ แล้วปล่อยอารมณ์ล่องลอยไปให้เหงาตายเลยครับท่าน...

track | warpaint: "baby" (2010)

http://28.media.tumblr.com/tumblr_le78pvLUPN1qb118bo1_500.jpg
Warpaint: "Baby"
from 'The Fool' (2010)

ชื่อWarpaint วนเวียนในplaylistของผมมาซักพักใหญ่ๆละ แม้จะชื่นชมความสามารถในเชิงนักดนตรีของพวกเธอ แต่งานเพลงของพวกเธอยังไม่ถึงกับโดนใจผมจังๆ (กระนั้นก็ยังติดอันดับอัลบัมแห่งปี 2010) -- จนมาเจอเพลงacousticเพลงนี้เข้าไป... โดนเลย... เพราะมากๆ เนื้อหาก็เก๋ -- "You speak your fear, thinking in circles and checking what mirrors don't see./You live your life like a page from the book of my fantasy." -- เก๋มากครับ -- อ้อ...ใครเป็นแฟนThe Beatles...มีท่อนนึงพวกเธอขโมยเพลงของสี่เต่าทองมาใส่ดื้อๆ ลองหาดู...

track | dale earnhardt jr. jr.: "simple girl" (2010)


Dale Earnhardt Jr. Jr.: "Simple Girl"
from 'Horse Power EP'. (2010)

Simple Girlเป็นเพลงอินดี้ป็อปธรรมดาๆ เดาทางได้ กุ๊กกิ๊กๆ แต่หลายๆองค์ประกอบรวมกันแล้วลงตัวดีแหะ... ผิวปากเอย กีต้าร์โปร่งเอย อะไรก็ไม่รู้กุ๊งกิ๊งๆ เสียงร้องลั้นล้าๆ น่ารักๆดี นึกถึงPaul McCartneyนิดๆเลยนะเนี่ย

14 December 2010

track | smith westerns: "weekend" (2011)


Smith Westerns: "Weekend"
from 'upcoming album' (2011)

ปลายปีแล้ว... ปี2010กำลังจะจากไป 2011กำลังจะมา น่าสนใจว่าอะไรจะกลับมาเป็นกระแสในโลกดนตรีปีหน้า... หลังจากฟังWeekendไปแล้ว... หรือguitar popเก๋ๆบริทๆจะกลับมา วงอเมริกันวงนี้เล่นได้อารมณ์ 90s จากUKดีจริงๆ เพลงคอร์ดน่ารักๆ ลูกกีต้าร์เจ็บๆ ท่อนแยกเก๋าๆ ท่อนฮุกติดหู นึกถึง Supergrass หรือ Blur สมัยหนุ่มๆทีเดียวเชียว

07 December 2010

track | destroyer: "chinatown" (2010)

http://24.media.tumblr.com/tumblr_ld2gjr5Zhy1qb118bo1_500.jpg
Destroyer: "Chinatown"
from Kaputt (2011)

Bay of Pigs คือหนึ่งในเพลง/EP ที่ผมชอบสุดๆเมื่อปี2009 และตั้งตารองานใหม่จอง Destroyerในปีนี้ จนแล้วจนรอด เราก็ปล่อยChinatownออกมาจนได้ ...แต่อัลบัมเต็มต้องรอต้นปีหน้า -- เพลงนี้จ๊าบสุดๆ... กลองแมชชีนเก๋ๆ คอร์ดกีต้าร์โปร่งหวานๆนุ่มๆ เข้ากับเสียงร้องกึ่มๆเมาๆแหบๆทรงสเน่ห์ ไหนจะเสียงแซ็คโซโฟนอีก ...ช่างเป็นแทร็คละมุนละไม ชมพูหม่นๆ ฝนตกพรำๆ ...อ่าาาา

track | girls: "broken dreams club" (2010)

http://26.media.tumblr.com/tumblr_ld2g8eGYJ31qb118bo1_500.jpg
Girls: "Broken Dreams Club"
from Broken Dreams Club EP (2010)

Girlsกลับมาแล้ว... กลับมาพร้อมกับดนตรีงดงามที่มาพร้อมกับความเหงาหม่น ฟัง Broken Dreams Clubแล้วหัวใจห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เพราะดี...เหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นบางอย่าง ...ดี...ดี...รออัลบัมเต็มปีหน้า Girlsยังไม่หมดไฟ!

28 November 2010

track | das racist: "rapping 2 u" [ft. lakutis] (2010)


Das Racist: "Rapping 2 U" [ft. Lakutis]
from Sit Down, Man (2010)

ช่างเป็นวงแร็ปที่กวนตีนเหลือเกิน กวนจนเลยขั้นความเก๋า ไปสู่ความฮาได้อยู่เรื่อยๆตลอดอัลบัม... แต่ต้องยอมในความจ๊าบเก๋าของพวกเขา ที่เต็มไปด้วยความเนิร์ดและความ'ไม่-ขาโหด'เลย ...Rapping 2 Uคือแทร็คเด่น(ที่สุด?)จากอัลบัมที่โคตรเยี่ยม 'Sit Down, Man'ที่ไม่อยากให้พลาดกันเลย -- แค่ใช้เลือกที่จะแซมป์เพลงที่ชวนนึกถึงโอตาคุญี่ปุ่นชอบกล(ใครรู้บ้างว่าเพลงอะไร-บอกด้วย) แล้วดูลีลาแร็ป...."They called us joke rap. We kind of rerap. We just like rap. We don’t even need rap. Could get a real job, only rap weekly. I don’t need rap. Told you, rap need me" ...ต้องบอกว่า ...เชี่ยยยยยยย เก๋าาาาาา สาดดดดด



Das Racist: "Fashion Party" [ft. Chairlift]
from Sit Down, Man (2010)


Das Racist: "Commercial"
from Sit Down, Man (2010)

track | summer camp: "round the moon" (2010)


Summer Camp: "Round The Moon"
from Young EP (2010)

ปีที่แล้ว Ghost Train ของ Summer Campดูโอ'ถวิล-หวาน'จากสวีเดน ติดอันดับหนึ่งในเพลงโปรดแห่งปี2009ของข้าพเจ้า ...ปีนี้ Round The Moon จะทำได้หรือไม่!โปรดติดตาม... ลองรับฟังเพลงสุดnostalgic กับวีดีโอที่ตัดต่อจากหนังเรื่อง Swedish Love Story ...เข้ากันได้ดี ออกมาละมุนละไมมากมายก่ายกอง

25 November 2010

track | robyn: "call your girlfriend" (2010)


Robyn: "Call Your Girlfriend"
from Body Talk (2010)

Dancing On My Own สำหรับผมเป็นหนึ่งแทร็คที่ดีที่สุดของปี2010อย่างไม่ต้องสงสัย ...เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงสมควรได้คะแนน10/10 ...มันคือเพลงที่สมบูรณ์ -- Call Your Girlfriendตอกย้ำความเป็นราชินีแห่งเพลงป็อปของเธออีกครั้ง -- ไม่มีอะไรใน Call Your Girlfriendที่ผมrelate toได้เลย แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล ผมได้สัมผัสถึงสวยงามของLove Story และความเจ็บปวดของTragedy ผ่านดนตรีป็อปลูกกวาดหวานๆที่ดูเหมือนไม่มีอะไรลึกซึ้งในสายตาคอเพลงบางคน -- คล้ายกับDancing On My Own มันเป็นเพลงชวนฝัน โลกสีชมพูของการ์ตูนตาหวาน แต่คราวนี้เล่าผ่านRobyn ที่บอกให้ชายหนุ่ม "Call your girlfriend/It's time you had the talk/Give your reasons/Say it's not her fault/But you just met somebody new"

วิธีที่เธอร้อง การเรียบเรียงดนตรีที่เธอใช้... มันช่างเป็นจุดสูงสุดเท่าที่ดนตรีป็อปดีๆเพลงหนึ่งจะเป็นได้ มันสวยงามอาจทำให้คุณเจ็บปวดได้ ทุกอย่างในเพลงนี้ช่างงดามเหลือเกิน ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากความจริงที่ว่า...Call Your Girlfriendเป็นเพลงที่ดีมากๆ

คุณคนจงรับทราบ...Robynคือราชินีแห่งป็อป

track | tomorrow, yesterday: "here we go" (2010)


Tomorrow, Yesterday: "Here We Go"
from To...From... (2010)

Here We Goเป็นเพลงแร็ปท่องเที่ยว แนว'ฉันกะเธอไปรอบโลกกัน' Here we go yo! Here we go!...สนุกสนานกันไปด้วยlyricsเท่ห์ๆ ที่พามาถึงเมืองไทยเชียว "maybe we can even meet the muay thai man..." ฮา... ลองฟังดู อ๋อ..อัลบัมมีให้โหลดฟรีด้วยนะ ชอบก็ไปหากันดู

Tomorrow, Yesterday - Here We Go (via)

track | violens: "acid reign" (2010)


Violens: "Acid Reign"
from Amoral (2010)

ถึงเวลาที่ดนตรีบริทร็อต บริทป็ฮป บริทบลาบลาบลา... จะกลับมารึยัง? โหยหาดนตรีร็อคแน่นๆ เบสหนาๆกีต้าร์แสบๆเปล่่า? Violensปะหล้าาา แค่ขึ้นต้นเพลงมาก็แน่นซะขนาดนั้น กลองกับเบสไปด้วยกันอย่างหนักแน่น เสียงร้องใหญ่ๆก้องๆ กีต้าร์แตกที่พุ่งพล่านสลับกันริฟท์เก๋ๆตามสูตรร็อคแอนด์โรลล์ ...ชอบปะหล้าาาา ลองฟังทั้งอัลบัมเลยเด่

track | twin shadow: "slow" (2010)


Twin Shadow: "Slow"
from Forget (2010)

อย่าคิดว่าTwin Shadowเป็นแค่อีกวงอินดี้ที่เล่นเพลงอารมณ์retroๆ นับวันผมจะยิ่งชอบอัลบัมForgetของเขามาขึ้นเรื่อยๆ ฟังSlowแล้วแล้วนึกถึงThe Smithsเหลือเกิน ทั้งวิธีร้อง วิธีเรียบเรียงและmixซาวน์ ฟังดู80sมาก ...ปราณีต รู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำของซาวน์เปี่ยมหูทั้งสองข้างตลอดการฟังเพลงนี้

track | emiliana torrini: "jungle drum" (jai paul remix) (2010)


Emiliana Torrini: "Jungle Drum" (Jai Paul Remix)
from Free Download (2010)

จำJai Paul ได้ไหม เคยพูดถึงไว้... กลับมาอีกครั้งกับงานRemixแสนจ๊าบ ...บอกตรงๆว่าเหมือนจะเคยฟังต้นฉบับนะ แต่ฟังแล้วก็เฉยๆ ก็ป็อปแสกนดิเนเวียนธรรมดาๆ -- มาโดนremixเข้า โดนเลย... Jungle Drumที่ฟังดูป่าดงดิบสะใจจริงๆ เสียงกลองถูกmixได้ฉลาดมาก เข้ากับไอ้ซินธ์แหลมๆที่ชวนเต้นเหลือเกิน ...อะตู้ดูดุงๆๆ

track | kanye west: "the joy" [ft. pete rock, jay-z, charlie wilson, curtis mayfield, kid cudi] (2010)


Kanye West: "The Joy"
[ft. Pete rock, Jay-z, Charlie Wilson, Curtis Mayfield, Kid Cudi]
from .... (2010)

ว้าว...รูปข้างบนนั่น ดูอลังการราวกับหนังepic ประเภทรวมดาวคับคั่งเหลือเกิน แค่นี้ก็ชวนฟังจนอดใจไม่ไหวแล้ว -- เมื่อฟังเข้าจริงก็ไม่ผิดหวัง ต้องบอกว่าแทร็คนี้...'เก๋าเหี้ยๆ' ฟังบีตแสนเจ็บ ดึ่มดั่มไปกับเสียงทุ้มลึกที่ย่ำอย่างหล่อ ...เบื้องบนเป็นการลั่นวาจาแร็ปสุดจ๊าบ "...but I still hear the ghosts of the kids I never had" ..."No Electro, no metro, a little retro, I perfecto " ซี๊ดดดด....

track | gypsy and the cat: "watching me watching you" (2010)


Gypsy and The Cat: "Watching Me Watching You"
from Gilgamesh (2010)

วงออสซี่ที่ฟังแล้วอดจะหย่อนชื่อCut Copyลงในการเขียนถึงไม่ได้ ...ประเทศนี้กลายเป็นจ้าวแห่งอินดี้แดนซ์ดิสโก้โอ้ลั้นล้าไปแล้วหรือเนี่ย -- Gypsy and The Catทำเพลงได้แสนเดิ้นพริ้วเหลือเกิน 80sจนฟังแล้วจั๊กกะจี้ แสงสีฉูดฉาดอย่างกับดูMtvยุคแรก โอ้วโลกแห่งเพลงป็อป ใครจะว่ามันป็อปปี้ก็ยังไงช่างเขา เราว่ามันช่างสวยงามนะเธอ



Gypsy and The Cat: "Time To Wander"
from Gilgamesh (2010)

แถมอีกเพลง ซึ่งเป็นเพลงที่ออกมาก่อนแล้ว มาพร้อมกับวีดีโอเก๋ๆนะเธอ

14 November 2010

track | anika: "i go to sleep" & "yang yang" (2010)


Anika: "I Go To Sleep" [The Kinks Cover]
from Anika (2010)

ฟังอัลบัมของAnikaแล้ว ชวนนึกถึงดนตรีใต้ดินหรือดนตรีทดลอง ยุค60s-70sจริงๆ ...ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะผมมารู้ทีหลังว่า เธอcoverงานของศิลปินยุคนั้นเป็นว่าเล่น -- ใครชอบงานของ Velvet Underground โดยเฉพาะแทร็คที่ร้องโดย Nicoละก็ ...Anika คือคำตอบ

I Go To Sleep เป็นแทร็คที่จ๊าบมากมาย ...แค่บีตก็ฆ่ากันตายแล้ว อะไรจะหนัก...จะกระแทกได้ดื้อขนาดนั้น ไม่ได้ประนีประนอมเล่นซัดเหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ เรียบง่ายแต่...เจ็บจริง ปวดใจจริง...ปวดจนอื้ออึง หลับหลอนไปเลย



Anika: "Yang Yang" [Yoko Ono Cover]

from Anika (2010)

อีกเพลง ซึ่งจริงๆเป็นเพลงเดียงที่Anikaปล่อยออกมาตอนนี้ ลองฟังเบสดูซิ...เก๋และเก๋า จิ๊กโก๋เทคโนซะขนาดนั้น เหมือนเบสย่ำไปในพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยพื้นผิวแห่งเสียงสังเคราะห์ที่แสนแห้งแล้ง ...เก๋าจริง

track | larry gus: "hearing the words you said" (2010)


Larry Gus: "Hearing The Words You Said"
from Stitches (2010)

Larry Gusเป็นนักปรุงเสียงจากกรีซ... สร้างสรรค์เพลงนี้นามว่า "Hearing The Words You Said" ออกมาเป็นดนตรีที่เหมาะกับการเปิดในปาร์ตี้ สำหรับการกอดคอร้องร่วมกันเป็นหมู่คณะ ทั้งเพลงมีแต่การบิ้วสู่จุดสุดยอด กลองเอย บีตเอย เสียงโน้นนี่เอย...บิ้วกันเข้าไป พริ้วกันเข้าไป เอาให้สุด เอาให้สุด...มันส์ดี

track | slow talk: "fashion sense" (2010)


Slow Talk: "Fashion Sense"
from Treehouse Politcs EP (2010)

“I don’t want to be 30 cos that’s when I’ll die, cos all my friends get married, commit suicide. They’re having white wine parties across the street”-- แน่นอนมาก... ลองฟังกันดู อินดี้ป็อปธรรมดาๆเก๋ๆ มีเมโลดี้สนุกสนานติดหู มีเนื้อร้องที่มีธีมslackerๆของการไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ เข้ากับทำนองชิวๆของเพลงที่ไหลไปเรื่อย เสียงร้องแบบขี้เกียจๆเมาๆ เหมาะกับการฟังเวลาเบื่อโลกทำงานงั่งๆมาก สำหรับคนวัยไม่เยาว์แต่เสือกชอบฟังเพลงวัยรุ่นทั้งหลาย

02 November 2010

track | gruff rhys: "shark ridden waters" (2010)


Gruff Rhys: "Shark Ridden Waters"
from Shark Ridden Waters 12" (2010)

Gruff Rhys คือหนึ่งในศิลปินยุคbritpopที่ยืนหยัดอย่างสง่างามถึงทุกวันนี้ เขาคือสมาชิกหลักวงจากเวลส์นามSuper Furry Animals มีผลงานเดี่ยวและโปรเจคอื่นๆมากมาย ปีที่แล้วเขาร่วมงานกับ Danger Mouse and Sparklehorse ในเพลงJust War -- ปีนี้เขาก็ไปแจมกับอีกขาบริทป็อป Damon Albarnแห่ง Gorillaz(และ Blur) ในเพลง Superfast Jellyfish ...แน่จริงๆ

Shark Ridden Waters เป็นเพลงป็อปธรรมชาติๆ นึกถึงดนตรีปลาย60sถึง 70sในยุคไซคีเดลิก (ซึ่งเขาก็แซมป์เพลงยุคนั้นมาไว้ในเพลงนี้เต็มๆ) นึกถึงวงร็อคเต็มวง เล่นดนตรีทะเลๆ พริ้วๆ... ด้วยกลิ่นอายของดนตรีเต้นรำร่วมสมัยในลูปและบีตในบางจังหวะของมัน เป็นดนตรีป็อปคุณภาพเน้นๆที่ฟังแล้วหยุดไม่ลง [ดูวีดีโอสุดเก๋...ที่นี่]

31 October 2010

track | sun airway: "oh, naoko" & "put the days away" (2010)


Sun Airway: "Put The Days Away"
from Nocturne of Exploded Crystal Chandelier (2010)

งานอิเล็คโทรป็อปเก๋ๆ เมโลดี้สวยๆจากศิลปินหน้าใหม่นามSun Airway ที่ปล่อยแทร็คหลายแทร็คออกมาพักใหญ่ตั้งแต่ต้นปีแล้ว -- Put The Days Away มาพร้อมกับวีดีโอเท่ห์ๆ เริ่มต้นด้วยความเรื่องเรียบๆ เข้ากับบีตแสนเรียบของเพลง ก็พาไปสู่โลกสีสันไฟนีออน เข้ากับดนตรีดิจิตอลของเพลงดี --- เป็นวงที่น่าจับตามอง

Sun Airway: "Oh, Naoko"
from Nocturne of Exploded Crystal Chandelier (2010)
เพลง Oh, Naoko เป็นหนึ่งเพลงที่ชอบมาก นึกถึง Passion Pitหน่อยๆ แต่เป็นแบบเรียบง่ายกว่่า ไม่ฉูดฉาดด้วยเสียงซินธ์หลากสี แต่เน้นออกแนวหวานๆสดใจ

27 October 2010

track | crystal castles "not in love - remix [ft. robert smith] (2010)


Crystal Castles "Not in Love Remix [ft. Robert Smith]"
from 'Not In Love' Single (2010)

Not In Love...คือแทร็คที่ผมฟังบ่อยเหี้ยๆในอัลบัมล่าสุดของวง ดิจิ-มินิมอล-ฟังค์-ish นาม Crystal Castles ด้วยความที่หลงรักโมเลดี้ไหลลื่นกำกวมเคลิ้มๆเมาๆ ที่ไหลทวนกระแสเสียงสังเคราะห์แสบๆ ...ปัญหาก็คือ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าเจ๊แกร้องอะไร ซึ่งก็โอเค...เข้ากับสไตล์ของวงดี ไม่มีปัญหาอะไร -- จนกระทั้ง...เจอเวอรชั่นนี้เข้าไป!! Robert Smith แห่ง The Cure ตัดเสียงร้องกำกวมๆออกแล้วร้องใหม่ซะเอง ว้าว...ยุค80sเจอกับยุค00s ต่อหน้าต่อตาจนเกิดเป็นแทร็คที่มันฟังดูเหมือนแทร็คที่สูญหายของThe Cureในยุค80sที่ถูกremixโดย Crytral Castlesมากกว่า! -- น่าจะไปป้วนเปี้ยนอยู่ในลิสต์ "เพลงแห่งปี2010" ในปลายปีนี้ไม่ยากเลย

เออรู้ไรไหม... Crytral Castlesก็coverเขามาอีกที! ใช่แล้ว... Not In Loveต้นฉบับนั้นจริงๆเป็นของศิลปินนาม Platinum Blonde ที่ออกในปี1983 --- มันส์ไหมละ มันส์ใช่ไหมละ!

20 October 2010

track | harlem: "someday soon" (2010)


Harlem: "Someday Soon"
from Hippies (2010)

ประโยคแรกก็ชนะแล้วอ่ะเพลงนี้:: Someday soon you'll be on fire. And you'll ask me for a glass of water. And I say, Noooooooooooo oh wooh. You can just let that shit burn! And you'll say, Please, please, please put me out. I promise not to do it again whatever I did to you....

17 October 2010

track | panda bear: "you can count on me" (2010)


Panda Bear: "You Can Count On Me"
from Tomboy (2010)

สมาชิกของวงAnimal Collective ผู้ซึ่งอัลบัมเดี่ยวในปี2007ของเขาได้รับยกย่องล้นหลามจากนักวิจารณ์หลายสำนัก -- หลังจากกลับไปทำอัลบัมแห่งปี2009กับวงมาเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เขาจะถอยงานเดี่ยวออกมาอีกครั้ง ...สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดๆชื่อ เขาเพิ่มกีต้าร์เข้ามา จากเดิมที่นั่นกดปุ่มตื่ดๆอย่างเดียว -- เริ่มมีเพลงหลุดออกมาบ้างละ แต่ที่เข้าหูผมที่สุดคือเพลงนี้ "You Can Count On Me" ที่ความเห็นนึงในyoutubeบอกว่าเหมือนเพลงการ์ตูนเรื่อง The Lion King(ฮา) ซึ่งก็จริง เป็นอารมณ์ป่าๆแอฟริกาๆ แต่ลอยๆชิวๆฟุ้งๆเมาๆเทคโนๆ...ดูเป็นดนตรีที่มีเอกลักษณ์Panda Bearชัดเจนมาก ฟังแล้วเคลิ้มเสพติดกันงอมแงมทีเดียว

16 October 2010

track | james blake: "limit to your love" (2010)


James Blake: "Limit To Your Love" (Feist Cover)
from Upcoming Album (2011)

เพิ่งออกEPไปไม่นาน ซึ่งเป็นEPที่โคตรจ๊าบซะด้วย -- Jame Blakeอีกชื่อที่ต้องจำไว้สำหรับคอเพลงเสียงสังเคราะห์ เพราะปีหน้าเขามาแน่ Limit To Your Loveเป็นเพลงที่มีเสียงร้อง น่าจะเป็นมิตรกับคนฟังเพลงpopหมู่มากได้มากขึ้น coverงานเก่าของเจ้าแม่เด็กแนว00sรุ่นที่1อย่างFeistซะเลย -- เนื้อดนตรีแสนบาง มีเปียโนกดหนักๆอย่างอ้อยอิ่ง ชวนเหงาโดดเดี่ยว ไปกับบีตบางๆและเสียงร้องครวญ ...มีสเน่ห์ลึกลับเหงาๆแบบเก๋ๆสุดๆ (วีดีโอก็เจ๋งนะลองดู)

14 October 2010

track | ceremony: "m.c.d.f." (2010)

http://26.media.tumblr.com/tumblr_la8vj5KIXw1qb118bo1_500.jpg
Ceremony: "M.C.D.F."
from Rohnert Park (2010)

นานได้ซัดดนตรีฟังค์ดิบๆ 70sๆสะใจๆอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน... โดนไปซะงานของCeremony วงนี้ใส่กันตูม กีต้าร์แตกพล่าน ปิ๊กทารุณเบสกีต้าร์ตูมๆ ฟาดกลองโครมๆ ร้องแหกปากลั่น... ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนดนตรีแนวนี้ก็ชอบได้ หาชอบลองหาอัลบัม Rohnert Parkมาฟัง แล้วปลดปล่อยอารมณ์ดิบกันเถิด

13 October 2010

track | the morning benders: "virgins" & "all day day light" (2010)


The Morning Benders: "Virgins"
from live at Blogotheque (2010)

อ่า...อัลบัม Big Echo ของ The Morning Benders เป็นวงที่ค่อยๆgrow on me ตลอดปี2010นี้จริงๆ ...เริ่มแรกฟังยังเฉยๆ (แต่ประทับใจวีดีโอ Excuses มาก) แต่เรื่อยเข้าเรื่อยเข้า มันค่อยเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆจนเป็นหนึ่งอัลบัมโปรดแห่งปีไปแล้วเนี่ย

Virginsเป็นเพลงใหม่ ไม่ได้อยู่ในอัลบัมนั้น แต่มันทำให้ผมตั้งตารออัลบัมต่อไปของพวกเขาทันที ...ว้าว ช่างเป็นเพลงที่หวานละมุนละไมเหลือเกิน บิ้วด้วยอารมณ์คอร์ดmaj7ตามสูตรดนตรีballadแบบที่พวกเขาถนัด แต่ทรงพลังเหลือเกินด้วยเสียงประสาน และการใส่อารมณ์หนักเบาที่ตีไปตีมาเหมือนคลื่นทะเล ...ว้าว ...ว้าว หมดคำพูดจริงๆ...


The Morning Benders: "All Day Day Light"
from Big Echo (2010)

แถมอีกเพลงจากอัลบัม Big Echo ที่เพิ่งมีmusic videoออกมา ...All Day Day Lightมีจังหวะที่เร็ว หนักด้วยการสับคอร์ดกีต้าร์เจ็บๆ ไม่หวานเท่าเพลงอื่นๆเขาพวกเขาที่เราคุ้น เป็น pop rock/guitar band ที่พดได้ว่าตามสูตร ...แต่เช่นเคย เมื่ออยู่ในมือพวกเขา มันเป็นมากกว่าเพลงธรรมดา ชวนนึกถึงดนตรีจัดจ้านๆของ The Beatles ยุค Revolver เลยทีเดียว ...ว้าว วงอะไรเนี่ย ทำไมมันเก่งกันอย่างนี้

track | andre 3000: "i do" (2010)

http://30.media.tumblr.com/tumblr_la8he0VTBG1qb118bo1_500.jpg
Andre 3000: "I Do"
from free download (2010)

Andre 3000คือในสองสมาชิกวงOutkast ที่ถือเป็นศิลปินhiphopหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง เห็นได้จากอัลบัมสุดท้ายร่วมกับOutkastที่งานของเขามีความหลากหลายทางดนตรีและเนื้อหาล้ำหน้าไปเยอะทีเดียว -- Andre 3000 กลับมาในนามศิลปินเดี่ยวอีกครั้งหลังหายหน้าไปนาน ..."I Do" เป็นดนตรีที่แสนsmooth ใช้สำเนียงดนตรีโซล์วๆเท่ห์ๆ กับการแร๊ปกึ่งร้อง-หล่อๆเนิ่บๆ แทร็คยาวแค่2นาทีแต่ฟังแล้วมันช่างแน่นและอิ่มหูเหลือเกิน

track | domo genesis: "super market" [ft. ace creator] (2010)


Domo Genesis: "Super Market" [ft. Ace Creator]
from Rolling Papers (2010)

มาฟังเพลงHiphopแนวเห่าๆฮาๆเพลงนี้กันเถิด ไม่บ่อยนักที่ท่านจะได้ฟังสองแร็ปเปอร์พ่นน้ำลายใส่กันในsupermarketด้วยที่ว่า"ไอ้เชี่ยมึงแซงคิวกู" แล้วมาลองดูวาทะศิลป์ของพวกเขากัน เห่ากันด้วยภาษา Ninja, Samurai, และ Jedi ...นี่ขาโหดแนวเนิร์ดๆนี่หว่า -- ตลกมาก บีตก็เก๋าดี ฟังแล้วรู้สึกถึงความเพี้ยนหลุดโลก จ๊าบมาก (โหลดได้ที่นี่ หรือ โหลดทั้งอัลบัมได้ที่นี่)

08 October 2010

track | foster the people: "pumped up kicks" (2010)


Foster The People: "Pumped Up Kicks"
from free download (2010)

Pumped Up Kicks เป็นแทร็คที่ผมยังไม่แน่ใจตัวเองว่าชอบจริงรึเปล่า... ฟังได้ฟังบ่อย แต่มันเหมือนลูกอมหวานๆที่รสชาติชุ่มฉ่ำประเดี๋ยวประด๋าวไม่ช้าก็จาง ไม่มีอะไรซับซ้อน ...ซึ่งเปรียบได้กับไอ้เมโลดี้คิกขุๆของเพลงนี้ที่แสนติดหูและฟังสบาย ไร้พิษไร้ภัยเป็นบ้า NMEชอบวงนี้มาก(เป็นอีกเหตุผลที่ผมไม่แน่จะว่าควรจะชอบไหม เพราะNMEมันห่วย--ฮา) เอาน่า...อย่าไปคิดมาก ฟังไปขำๆ you better run... better run ลั้นล้าๆๆสนุกสนาน

track | how to dress well: "lover's start" (2010)


How to Dress Well: "Lover's Start"
from Love Remains (2010)

How to Dress Well เป็นหนึ่งในศิลปินที่มีซาวน์ฟังดูแตกต่างจากวงที่ออกมาในปีนี้ ไม่อยากจะใช้คำว่าoriginalเพราะ ก็ฟังออกว่าได้แรงบันดาลใจจากศิลปินรุ่นเก่า แต่มันเป็นสูตรการขโมยสไตล์คนอื่นมาใช้ที่มีเอกลักษณ์และลงตัวดีสุดๆ -- ในเวลาเดียวกับมันมีอารมณ์อวิลหาดนตรีป็อปตลาดๆ แบบ80sๆ ต้นถึงกลาง90s ยุคสมัยMtv ดนตรีR&B...แต่ผสมผสามกับความเก๋ไก๋ของดนตรีอิเล็กทรอนิคแบบambientๆdubstepๆ(นึกถึงBurialชะมัด) ฟังแล้วสมองแล่น จินตนาการพุ่งพล่าน

ปล. เพื่อยืนยันความเป็นR&B มาดู/ฟัง เขาcover เพลงของ R.Kelly ที่นี่
ปล. เคยพูดถึงไว้ที่นี่

track | wild nothing: "golden haze" (2010)


Wild Nothing: "Golden Haze"
from Evertide EP (2010)

อยากประกาศดังๆว่าอัลบัม Gemini ของ Wild Nothing เป็นอัลบัมที่โคตรจ๊าบ! ติดอันดับต้นๆของปี 2010แน่นอน ...ยิ่งใครรักดนตรีอารมณ์80sอังกฤษๆแมนเชสเตอร์ๆที่มีกีต้าร์ไฟฟ้าเกลี่ยๆฟุ้งๆแต้มreverbนิดdelayหน่อย ต้องฟัง! (เคยแนะนำเพลง Chinatownไปแล้ว-- ว่าที่เพลงยอดเยี่ยมแห่งปี2010!)

Golden Haze เป็นเพลงจากEPที่ออกมากันแฟนๆลืมตามทำเนียมของวงอินดี้ที่ออกต้นปี ผลคือ...Golden Hazeอาจจะเป็นเพลงที่ดีที่สุด มากกว่าทุกเพลงในGeminiเลยก็ได้ ตกหลุมรักตั้งแต่การfade inใน intro ที่เบสนุ่มๆค่อยๆปรากฏออกมาพร้อมกับเสียงกีต้าร์จากสวรรค์ หลังจากนั้นก็ติดกับเพลงนี้อย่างจังไปจนจบ ยอดเยี่ยมจริงๆ

04 October 2010

track | arcade fire: "we used to wait" (2010)


Arcade Fire: "We Used To Wait"
from The Suburbs (2010)

ใครที่ยังไม่ได้ลองเล่นไอ้ The Wilderness Downtown ก็ลองกดไปเล่นกันดู มันคือวีดีโอinteractive ให้ใส่ชื่อเมืองที่เราโตมา แล้วมันจะมาทำเป็นวีดีโอผสมผสานกับ google earth พยายามจะเล่นประเด็นเกี่ยวๆกับความถวิลหาวัยเยาว์ ซึ่งก็โคตรเหมาะที่มันใช้เพลง We Used To Wait ของ Arcade Fire ที่ชวนนึกถึงวลี "เฮ้อ...เด็กสมัยนี้" แต่ออกไปทาง "เฮ้อ...เราสมัยเป็นเด็ก" คนที่แก่พอจะมีวัยเด็กเป็นของตัวเองจะเข้าใจประโยคอย่าง Now our lives are changing fast/Hope that something pure can last" (แต่แก่เกินไปก็อาจจะไม่เข้าใจ555) โดยเฉพาะคนรุ่นที่เคย write letters/sign my name/wait for letters to arrive และเห็นโลกเปลี่ยนไปกับตา ...เพลงนี้โดน

27 September 2010

track | owen pallett: "don't stop" (2010)


Owen Pallett: "Don't Stop"
from A Swedish Love Story EP (2010)

หลังจากอัลบัมHeartlandของศิลปินป็อป-ไวโอลิน-ซินธ์-ร้อง นาม Owen Pallett (ชื่อในวงการเดิมคือ Final Fantasy) ประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์หลายสำนักในช่วงต้นปี มาถึงปลายปี เพื่อไม่ให้คนลืมชื่อความยอดเยี่ยมของอัลบัมนั้น เขาปล่อยEPสี่เพลงนาม A Swedish Love Story ออกมาแก้คิดถึง

เลือกเพลง Don't Stop ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบัมมาแปะไว้ที่นี้ เป็นเพลงจังหวะกลางๆช้าๆ ที่มีเบสและลูปย่ำไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นแต่นุ่มนวล และแน่นอนเสียงไวโอลินพระเอกเจ้าเก่าของเรา ที่ถูกสี กระฉาก ดึง ทำหน้าที่เป็นออสเคสตร้าให้กับดนตรีทำมือเล็กชิ้นนี้ดูยิ่งใหญ่เช่นเคย



Owen Pallett: "Lewis Takes Action"
Owen Pallett: "Lewis Takes Off His Shirt"

from Heartland (2010)

ไหนๆก็ไหนๆ เอาเพลงโปรดจากอัลบัม Heartlandมาแปะไว้หน่อยละกัน... เป็นสองเพลงที่เกียวกับนาย Lewis ซึ่งไปใครก็ไม่รู้ แต่อยากให้ลองฟัง ถ้าโดน...ก็ไปหาอัลบัมเต็มมาฟังได้เลย

22 September 2010

track | sweet bulbs: "springstrung" (2010)

Sweet Bulbs: "Springstrung"
Sweet Bulbs: "Kissing Clouds"
from download (2010)

กำลังชอบวงนี้อยู่... ยังไม่ค่อยดังเท่าไรแต่มีแนวโน้มว่าจะดัง -- Sweet Bulbs มีความเป็นวงกีต้าร์noiseที่ใช้เสียงแตกพล่านของกีต้าร์นำ โดยมีจังหวะและเมโลดี้ที่สนุกคึกคัก ผสมผสานเอาความหยาบกร้านสร้างความหวานหอม (ซึ่งเป็นอะไรที่My Bloody Valentineใช้มาตั้งนานแล้ว ไม่ใด้ใหม่อะไร) ฟังดูเหมาะกับเป็นเพลงในงานปาร์ตี้หนุ่มสาวคอนเสิร์ตใต้ดินหลังวันปิดเทอมของนักศึกษาเก๋ๆ ...ว่ากันไป

track | björk: "the comet song" (2010)


Björk: "The Comet Song"
from Moomins and the Comet Chase OST (2010)

ลองจินตนาการดู: Bjorkทำเพลงประกอบการ์ตูน...แค่นี้ก็พลาดไม่ได้แล้ว น่าสนใจว่าเสียงที่แสนจะchildishของเธอจะทำให้เพลงออกมาเพี้ยนๆ หรือ หลุดโลกแค่ไหนยังไง เท่าที่ดูจากคลิปข้างบนก็ต้องบอกว่า...หลอนแปลกๆปนน่ากลัวนิดๆดี(อาจจะไม่เหมาะกับเด็ก) ฟังๆไปก็ชอบมากทีเดียว...ประดุจดั่งดูหนังการ์ตูนมาเกินไปจนหลอนแล้วเก็บไปฝันร้ายจนออกมาเป็นเพลงนี้

20 September 2010

track | the national: "afraid of everyone" + "runaway"+ "lemonworld" (2010)



ผมสอยอัลบัม High Violetของ The Nationalมาฟังอย่างผิดกฏหมายได้ช่วงหนึ่งแล้ว สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับวงนี้ ...ก็ควรไปทำตัวให้คุ้นได้แล้ว The Nationalเป็นวงร็อคที่แสนจะ...ธรรมดา ผิดจากอุดมคติของนักดนตรีร็อคโดยสิ้นเชิง ดนตรีของพวกเขาห่างไกลจากคำว่า'ปฏิวัติวงการ' หรือ 'แหกคอก' ว่ากันตรงๆมันคือเพลงป็อป C-Am-F-G ธรรมดาไม่ต่างจากดนตรีจากค่ายแกรมมี่ -- สมาชิกวงล้วนเป็นชายวัย30up ที่มีครอบครัวกันเกือบหมด หลายคนยังเคยทำงานออฟฟิตพร้อมกับเล่นดนตรีไปด้วย -- พวกเขาสุภาพ แต่งตัวเรียบร้อย ไม่มีอะไรทำลายล้าง ไม่มีทางที่เราจะสกีนรูปวงมาแปะในเสื้อยืดให้เท่ห์ได้

สำหรับเนื้อ เพลงของพวกเขา ...งดงาม -- ล้วนเป็นเนื้อหาเรียบๆ เล่าด้วยภาษาง่ายๆ แต่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเหนือชั้น มันทำให้เราเข้าใจ...แต่ไม่ทั้งหมด ทิ้งอะไรให้คิด แล้วปลดปล่อยอารมณ์ให้ซาบซึ้ง -- ในบทสัมภาษณ์ของพวกเขา นักร้องนำผู้เป็นคนเขียนเนื้อได้บอกว่า เขาตั้งใจทำเนื้อเพลงให้กำกวมนิดๆ เพื่อให้ผู้ฟังใส่ประสบการณ์ส่วนตัวลงไปเติมเต็ม ...บอกตรงๆว่าเลือกเพลงที่จะพูดถึงยากมาก แต่เอาว่าตัดสินใจคัดมา3เพลงให้คนที่อยากเริ่มต้นฟังอัลบัมใหม่ของพวกเขาแต่เริ่มไม่ถูก จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น

The National: "Afraid of Everyone"
from High Violet (2010)

เป็นที่รู้กันว่าอัลบัมที่แล้วของพวกเขา Boxerในปี2007 สะท้อนภาวะโลกในยุคที่สหรัฐเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว ผ่านมุมมองของแบบสุขุมของคนชนชั้นกลางวัยทำงานอย่างพวกเขา ...อย่างเพลง Fake Empireที่ตั้งคำถามแกมเย้ยหยันภาวะความเป็นผู้นำโลกจอมปลอมของสหรัฐ ...หรือเพลงที่ชื่อโต้งๆอย่าง Start A Warที่คงไม่ต้องอธิบายอะไร

มาชุดนี้ ธีมเหล่านั้นยังคงปกคลุมอยู่ แต่ในแง่มุมที่แตกต่างไป แน่นอนว่ายังเป็นการมองโลกในแง่ร้ายอยู่ คำว่า"Afraid of Everyone"ครานี้ อาจจะไม่ได้อยู่ในความหมายของ'รัฐใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนยอมให้รัฐทำอะไรก็ได้ (แบบในสมัยBush)'ซะทีเดียว แต่ดูเหมือนจะเป็นการสะท้อนความรู้สึกในชาวอเมริกัน(โดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยม)ที่กำลังโดนตบหน้าฉาดใหญ่จากความ"Change"ที่เข้าสู่ประเทศนี้อย่างสายฟ้าแลบ พวกเขามีผู้นำประเทศเป็นคนผิวไม่ขาว คนแรกในประวัติศาสตร์ (ประวัติศาสตร์อันแสนสกปรก)

จะเห็นว่าชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังตกอยู่ในความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ และ จนเกิดเป็นmovementที่ดูชวนขัน(แต่จุกจนตลกไม่ออก)มากมาย ถูกกล่อมจากการชวนเชื่อของสื่อขวาจัดที่ต่อต้านรัฐบาลนี้ ยัดเยียดเรื่องไร้สาระที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากประเทศนี้ (เช่นว่าประธานธิบดีผิวดำผู้นี้ไม่ใช่ชาวอเมริกันที่แท้จริง เป็นมุสลิม และ เป็นคอมมิวนิส)

ผมรู้สึกขนลุกกับท่อนท้ายเพลง ที่เขาร้องอย่างเจ็บปวดซ้ำๆว่า "Your voice is swallowing my soul, soul, soul" และรู้สึกgetความรู้สึกนี้อย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะได้มาอยู่ในสังคมไทย ที่เต็มไปด้วยความกลัวและความขัดแย้ง บางครั้งคำพูดของหลายๆคน จากหลายๆฝ่าย (ทั้งจากสื่อ และ จากคนรอบข้าง) มันก็กัดกินวิญญาณของเราๆเข้าไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นเพียงหุ่นเชิดโง่ๆ ที่ขยับตัวและขยับปากตามผู้เชิด [listen]

The National: "Runaway"
from High Violet (2010)

"there's no savin' anything (and) i was swallowing the shine of the sun" พวกเขาจั่วหัวแบบอารมณ์ตัดพ้ออย่างสิ้นหวัง 'มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย' ...การ'กลืนแสงสว่าง' เหมือนจะสะท้อนถึงการค่อยทำลาย'แสงสว่างปลายทางแห่งคำตอบ' ที่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งหดหาย น้อยลง...น้อยลงไป... "but i won't no runaway 'cause i won't run" แต่กระนั้น เราก็ยังไม่ทิ้งไปไหน เพราะเราไม่ยอมแพ้

"what makes you think i'm enjoyin' being led to the flood? we got another thing comin' undone" ประโยคคำถามที่ถูกบิ้วขึ้นมาอย่างแยบยลจนเราไม่ได้ตั้งตัวก่อนที่ถ้อยคำ เหล่านี้จะถูกประมวลผลในหัว -- มันพูดถึงสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้อง เมื่อเราต่างโดนยัดเยียดให้เข้าไปอยู่ในกระแสของความขัดแย้งอันเชี่ยวกราด ทั้งที่ต่างรู้ดีกว่า ยังมีปัญหามากมายค้างคาอยู่ ...."คิดหรือว่าข้าพเจ้ามีความสุข?"

"we don't bleed when we don't fight" มองแว้บแรก ...คือการเรียกร้องให้อยู่เฉยๆและกลับสู่ความสงบ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่เมื่อพิจารณาทั้งบริบทแล้ว ผมมองว่า มันเป็นการ'fight'กับปัญหา กล่าวคือ เราพร้อมที่จะสู้กับปัญหาโดยตรง จะไม่หนีไป และจะผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ด้วยกัน "go ahead go ahead throw your arms in the air tonight" -- "go ahead go ahead throw your shirts in the fire tonight" [listen]

The National: "Lemonworld"
from High Violet (2010)

ไม่มีอะไรจะกัดจิกความเป็นคนเมือง คนทำงาน คนปัญญาชน ได้เท่าการกัดจิกตัวเองแล้ว ประโยคที่แสนจะclicheอย่าง "So happy I was invited. Give me a reason to get out of the city" เป็น'ความฝันหวานๆ' ของคนเมืองอย่างเราๆทุกคนอยู่แล้ว โอ้วอยากไปทะเล โอ้วอยากไปเห็นป่า ทุ่งนานั้นช่างสดใสเหลือเกิน ไปปายกันเถิด (ซึ่งเอาเข้าจริงๆสุดท้ายก็กลับมาตายรังที่เมืองอยู่ดี-- และจะมีซักที่คนที่เคารพความเป็นชนบทอย่างจริงใจ)

แต่ประโยคที่จิ๊ดที่สุดคือท่อน "But it'll take a better war to kill a college man like me" หลังจากที่ท่อนก่อนหน้านี้ เขาพูดถึงเหล่าพี่น้องทหารอเมริกาที่สละชีพในสงครามขณะที่คนมีการศึกษาอย่างพวกเขายังสามารถมีชีวิตชิวๆเหงาๆในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์คได้ ...มีอะไรจะแสบกว่านี้ได้อีก -- สงครามแค่นี้ไม่ได้สะเทือนอะไรพวกเราได้เลย นอกจากเป็นแค่ประเด็นเก๋ๆที่เราได้ใช้มันถกเถียงโชว์ความเป็นปัญญาชนกับเพื่อนพ้อง

"This pricey stuff makes me dizzy. I guess I've always been a delicate man" หรือ "I was a comfortable kid. But I don't think about it much anymore." หรือ "I'm too tired to drive anyway, anyway right now" ตอกย้ำความไร้ค่าจำเจของชีวิตคนเมืองอย่างขมขื่น โอ้วฉันช่างอ่อนไหว โอ้ววัยเยาว์ของฉันหายไปไหน โอ้วชีวิตนี้มันช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่แท้จริงมันก็ไม่ใช่อะไรนอกจาก การหมกหมุ่นกับเรื่องของตัวเอง ในโลกแคบๆของตัวเอง ตัดขาดจากการ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ในโลกความจริงที่โหดร้ายกว่าหลายเท่านัก ...ภูมิคุ้มกันที่แสนอ่อนแอในโลก Lemonworld [listen]

17 September 2010

track | chromeo: "don't turn the lights on" (2010)

Chromeo: "Don't Turn The Lights On"
from Business Casual (2010)

เราเห็นวงที่retroยุคดนตรีดิสโก้ ดนตรีฟังค์รุ่งเรื่อง กันมามากมายเหลือเกิน ไอ้การเอาความเฉิ่มมาเปลี่ยนเป็นความเท่ห์ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่จะมีวงไหนที่ทำมันด้วยความเคารพต่อยุคสมัยนั้นได้เท่าChromeoกันเล่า ...เพราะงานของพวกเขาแทบจะเหมือนกับนั่งไทม์แมชชีนกลับไปยุคปลาย70sต้น80sสมัย จอห์น ทราโวตร้ากำลังแดนซ์เพลงดิสโก้อยู่ ยังไงอย่างนั้น -- ผมจำชื่อวงนี้ไว้ตั้งแต่ได้เริ่มดูวีดีโอ Night by Night ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ...ซึ่งแหม ...โคตรแป๋นแล๋นจนเลยขอบเขตของความน่าขันไปเป็นความมั่นใจที่เราต้องซูฮกจริงๆ -- Don't Turn The Lights On ก็เช่นกัน ใครที่มั่นใจว่าแมน ว่าเก๋า อาจจะยี้กับความเปรี้ยวทางดนตรีของพวกเขาได้ เพราะมันช่าง....เหลือเกิน โอ้ย...ชอบ

track | vampire weekend: "diplomat's son" (2010)


Vampire Weekend: "Diplomat's Son"
from Contra (2010)

อย่างที่ทราบกันว่าวงดนตรีนาม Vampire Weekend กำลังจะมาเล่นสดที่กรุงเทพ ดังนั้นน่าจะมีคนไทยมากมายsearchชื่อวงนี้ลงgoogle ...ดังนั้นเราควรจะเขียนถึงวงนี้ซักหน่อย จะได้ถูก'google มาโดนบ้าง' ...ปัญหาคือ ผมไม่ได้ชอบอัลบัมใหม่ของวงนี้มากเท่าไร (แต่ชอบอัลบัมแรกของพวกเขาในระดับ 'ชอบมาก' )ทั้งๆที่มันค่อนข้างจะฮิตในแวดวงคนฟังเพลง'นอกกระแส' -- ผมเลือก Diplomat's Son มาพูดถึงเพราะ ผมว่ามันมีความพิเศษจากเพลงอื่นๆ ไอ้ความ "ฉันเป็นคนขาวสำอาง ที่ขโมยดนตรีบ้านป่าของชาวแอฟริกามาใช้อย่างผู้ดีมีสกุล' ยังมีอยู่เต็มๆ (ซึ่งพวกเขาก็ขโมยมาจากคนขาวที่ชื่อ Simon อีกที-- ซึ่งอยู่ในเนื้อเพลงนี้ด้วยในท่อนหนึ่ง : "Cause I'm gonna take it from Simon")" ...นั้นชัดเจน จัดจ้าน จนรู้สึกว่า 'เออ โอเค กูยอมมึง เอ้า! มันส์!'

ใครชอบอารมณ์คิกขุในเพลงนี้ ลองฟังงานเดี่ยวของ Rostam Batmanglij นาม Discovery ดู ...น่าจะชอบ

14 September 2010

track | young montana: "sacre cool" (2010)


Young Montana: "Sacre Cool"
from free download (2010)

ดนตรีจากนักเล่นlaptopจากอังกฤษ ที่ช่วงนี้ดนตรีแนวนี้ก็ออกมามากมายพอตัว เพราะมันทำง่ายดีมั้ง แต่นานๆที่จะมีงานคมคายๆที่น่าพูดถึงออกมา (ส่วนมากจะเก๋ๆไปชั่วครั้งชั่วคราว) ...แต่Sacre Cool นี่มันcoolจริง ลีลาการตัดแปะ กระชากกระฉุด มันอออกมาเป็นดนตรีเต้นรำที่เดิ้นเหลือเกิน นึกถึงDaft Punkอะไรอย่างนี้เลย -- แซมป์ที่เลือกมาใช้ก็ดูร่าเริงรื่นรมณ์ ชวนนึกถึงดนตรีดิสโก้ หรือ ดนตรีป็อปเมนสตรีมแป๋นๆ ผสมผสามออกมาได้จัดจ้านเหลือเกิน

track | the intelligence: "like like like like like like like" (2010)


The Intelligence: "Like Like Like Like Like Like Like"
from Males (2010)

ชื่อเพลงคือคำว่า Like ซ้ำๆไปทั้งหมด 7 ครั้ง ดนตรีของพวกเขาเป็นริฟท์กีต้าร์ซ้ำๆเก๋าๆวนๆหลายครั้งอยู่ ...ง่ายๆดิบๆแบบนี้แหละสะใจๆ ตามธรรมชาติชาวฟังค์ชาวการาจ (ดูเล่นสดที่นี่) นึกถึงปลาย80sต้น90s ดนตรีจากรั้วมหาลัยในอเมริกา พวกดนตรีปัญญาชนเก๋าๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามดิบเถื่อนยังไง ก็ยังรู้สึกถึงความเนิร์ดบางอย่างอยู่

track | surfer blood: "floating vibes" (2010)


Surfer Blood: "Floating Vibes"
from Astrocoast (2010)

Surfer Bloodเป็นวงแรกที่ถูกพูดถึงในblogนี้ เพลงSwimของพวกเขาโดนจริตของข้าพเจ้าอย่างจัง แต่อัลบัมAstrocoastของพวกเขา อยู่ในอาการ"โดนมั่งไม่โดนมั่ง" หนึ่งในส่วนที่'โดน'ก็คือเพลง Floating Vibesนี้แหละ ผมอยากจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในการ'เปิดอัลบัม'ที่เจ็บที่สุดแห่งปี ...คิดดู ...ตูม ...คอร์ดกีต้าร์เดียวหนาๆถูกปัดลงซ้ำๆ เหมือนยักษ์ย่ำช้าๆอยู่กับที่ ไม่ว่าใครทำอะไรอยู่ก็ต้องหยุดทำ แล้วหันมาฟังเพลงนี้แล้วละ แสบสุดๆ..

track | madvillain: "papermill" (2010)


Madvillain: "Papermill"
from Adult Swim's "8 singles 8 weeks" project (2010)

ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพลงจ๊าบๆอย่างนี้...คนไม่เก็ตพูดในตายก็ไม่เข้าใจ ...ฟังซะ: All day / Be celibate. Out of his element / Madvillain never forget like a elephant / Any bent set, idle threats all irrelevant / Get your man, while 'er tell 'em found it, sell a bit / Well writ, as well as well spit for the hell of it / Before the shell hit / Etiquette, spell it / Pumpin dumplin's a hundred and sumpin' sumpin' / Forest Gump chumps get clumps of nuttin' for nuttin' / Tourist, show 'em where the shore is where the shark's at / Hold up, spark that, park rat / Stirred not shaken / Absurd verbs since word to hot bacon / Wrote this rhyme on standard sand paper / Worked out the plan and plot for grand caper / Vil on the cover of Playbill / Grillin' make ya mother say "Ill, hey will ya!?" / Ten feet at least, the beast may still ya / "Yeah I feel ya, / Hey, hey what's better than the healer yet?" Worser than tequila / A money gettin' nigga that's thirstier than a squealer / I guess you had to be there / There was free beer / Last of the Ansars / On the microphone, cyclone, like Myanmar / Hand in the jar, got stuck, took it / Use the glasses, juxed a pot luck, crooked / Flashed and not lookin' / Four words: Cash on the spot... bookin' / Howdy / Never too loud for me, too rowdy and too black and too proud to be / And he's audi / Last seen with a Queen / Lakum Dinukum Waliyadin / Yah'mean? / ... ...

09 September 2010

track | dent may: eastover wives" (2010)


Dent May: "Eastover Wive"
from That Feeling b/w Eastover Wives (2010)

ใครกำลังโหยหาดนตรีป็อปสวยๆโบราณๆนุ่มๆ.... มาลอง Dent May... ล่าสุดปล่อยซิงเกิ้ลสองหน้านี้มา แทร็คที่โดนใจผมคือ "Eastover Wive" ฟังดู70sมากๆ นึกถึงสีสันแสงสีแบบดิสโก้ๆ ราวกับวงWings อะไรอย่างนั้น... แต่เสียงร้องแอบนึกถึงวงอินดี้แรดๆแบบPulp ..."High school sweethearts, they only talk about the weather...."

track | joy orbison: "so derobe" (2010)


Joy Orbison: "So Derobe"
from The Shrew Would Have Cushioned the Blow (2010)

ต้องขอยกย่องฝีมือการผสมเสียงของ Joy Orbisonจริง ...EP ใหม่ของเขามีเพลงแค่สามเพลง แต่แต่ละเพลงนั้นยาวเกือบสิบนาทีทั้งสิ้น ฟังกันให้อิ่มหูไปเลย ...แทร็คที่ยกมาแปะตรงนี้คือ So Derobe ซึ่งยาว6นาที ฟังแล้วสนุกสุดๆ ลากยาวกันด้วยจังหวะอารมณ์dubstepๆเจ็บๆ เสียงร้องขาดๆเกินๆสำเนียงR&B ตามสูตร ...ดนตรีแน่นปึกมาก หูเทพจริงๆ

08 September 2010

track | alunageorge: "make no mistake" (2010)


AlunaGeorge: "Make No Mistake"
from free download (2010)

AlunGeorgeคือใคร ผมก็ไม่แน่ใจ เป็นศิลปินเดี่ยวหรือวงหรือดูโอ หรืออะไรก็ไม่รู้ ...แต่ Make No Mistake นั้นช่างถูกจริตเหลือเกิน... เมื่อใดดนตรีตื่ดๆพบกับเสียงนักร้องสาวเปรี้ยวๆ เมื่อนั้นดนตรีเต้นเก๋ๆจะบังเกิด เพลงนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ...ฟังดู ฟังดู เทคโนกระแทกๆฟลอร์ตูมตูม! ท่อนฮุกแบบยั่วๆ

track | japandroids: "wet hair" (2009) + teen daze: "wet hair" (2010)


Japandroids: "Wet Hair"
from Post-Nothing (2009)
Teen Daze: "Wet Hair (Japandroids Cover)"
from free download (2010)

Wet Hair เป็นหนึ่งในเพลงแห่งปี2009 สำหรับข้าพเจ้า ...ฟังค์กระจาย ระเบิดเถิดเทิง สะใจแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก วัยรุ่นๆฮอร์โมนพุ่งพล่าน เต็มไปด้วยlineเจ็บๆเก๋าๆอย่าง "Let's get to France So we can French kiss some French girls!" -- โดนรีมิกซ์ซะ... Teen Daze จับมาทำซะชิวสะบัด ดนตรีอิเล็กโทรนิคแบบบ้านๆทำด้วยคอมในห้องนอนง่าย... เก๋าไปอีกแบบ


05 September 2010

track | porcelain raft: "dragonfly" & "despite everything" (2010)


Porcelain Raft: "Dragonfly"
Porcelain Raft: "Despite Everything"

from Collection Of Porcelain (2010)

Porcelain Raft เป็นศิลปินแบบ'กูทำคนเดียว' สไตล์ 'กีต้าร์+คอม' ที่มีผลงานออกมาเรื่อยๆ ทีละเพลง ทีละเพลง มาซักระยะนึงแล้ว (แถมตัดต่อมิวสิควีดีโอแบบบ้านๆอาร์ตๆเอง(มั้ง)อีก) จริงๆก็เคยพูดถึงไปเพลงนึงแล้วหลายเดือนก่อน -- ช่วงนี้โดนไปอีกสองเพลง เริ่มที่Dragonfly ที่อบอวนด้วยทางดนตรีแบบโคตรeasy-listeningรุ่นคุณพ่อเชยๆ แต่เช่นเคย ยังเอาอารมณ์shoegazeเก๋ๆเข้าไปใส่อย่างลงตัว กลายเป็นเพลงป็อปฟุ้งๆที่หลับตาฟังแล้วตัวลอยได้ทีเดียวเชียว -- Despite Everything ลดทอนทั้งสปีดที่ลงมาเป็นเพลงที่เชื่องช้าอ้อยอิ่ง และองค์ประกอบแน่นๆจากกีต้าร์แตกพล่าน ก็กลายเป็นเปียโนกัดน้ำยาdelay และสายกีต้าร์เส้นๆเล็กๆที่ถูกปั่นลากเป็นเส้นยาวต่อเนื่อง ฟังดูsurrealล่องลอย อบอุ่น และชวนเหงาแบบหนาวๆบอกไม่ถูก -- Porcelain Raft... จำชื่อนี้ไว้ แน่ใจได้เลยว่าน่าจะมีผลงานออกมาอีก (ปล. ดูเล่นสดacoustic ได้ที่นี่)


31 August 2010

track | mgmt: "congratulations" (2010)


MGMT: "Congratulations"
from Congratulations (2010)

Congratulations น่าจะเป็นหนึ่งในเพลงปิดอัลบัมที่งดงามที่สุดแห่งปีได้ไม่ยาก ทุกอย่างในเพลงนี้พอดิบพอดีเหลือเกิน ยิ่งใครที่คลั่งไคล้ดนตรียุค60s-70sไซคีเดลิคๆ ตั้งแต่เสียงเบสไต่ลง...ไต่ลง... แบบโคตรธรรมชาตินึกถึงProcol Harumนิดๆ คอร์ดกีต้าร์ที่ทางคอร์ดโคตรจะนึกถึง The Byrds ...The Zombies ลูกโซโล่ซินธ์(อะไรซักอย่าง)ก็วางอย่างเหมาะเจาะจริงๆ ...จบลงด้วยเสียงปรบมืออย่างแสนคลาสสิก

track | the books: "all you need is a wall" & "free translator" (2010)


The Books: "All You Need Is A Wall"
The Books: "Free Translator"
from The Way Out (2010)

อัลบัมThe Way Out ของ The Book นี่...ยิ่งฟังก็ยิ่งชอบ จำกัดความคร่าวๆได้ว่าเป็นโฟล์คทดลอง เป็นดนตรีทดลองที่บางเบา ธรรมชาติ และบริสุทธ์ดีแท้ -- สามารถแบ่งประเภทของแทร็คในอัลบัมกว้างๆได้เป็นสองแบบ คือ 1.งานทดลองจ๋าๆ ใช้เสียงแซมป์ ใช้คอมพิวเตอร์ เพี้ยนหลุดโลก(อย่างเพลงนี้) 2. คืองานโฟล์คจริงจัง มีกีต้าร์นำ มีเนื้อร้องเพราะๆ เรียกว่าเป็นเพลงที่สามารถเป็นซิงเกิ้ลได้ไม่ยาก All You Need Is Wall และ Free Translator คือคำตอบ มันสุดยอดงานดนตรีโฟล์คๆที่สวยงามที่สุดของปีนี้!!

"I never loved a wall so much....ผ่าง!!"
"And I see... and I see ...and I see ...and I see.."



track | teeth: "see spaces (hocus tocus remix)" (2010)


Teeth: "See Spaces (Hocus Tocus Remix)"
from free download (2010)

เวอร์ชั่นรีมิกซ์ที่ทำเอาเวอร์ชั่นต้นฉบับฟังดูเป็นเวอร์ชั่นรีมิกซ์เสียเอง(งง?) See Spacesงานต้นฉบับของ Teeth(ที่เคยพูดถึงไปแล้ว) เป็นงานเทคโนมินิมอลๆแสนเก๋ที่ติดหูเป็นบ้า มันถูกรีมิกซ์ออกเป็นงานnoise rockระเบิดถล่มถลาย ประเภทกีต้าร์แตกพล่านเป็นเลื่อยไฟฟ้า กลองถูกซัดแบบอย่างกับโกรธกันมา สะใจมากๆ จนรู้สึกชอบกว่าต้นฉบับหลายเท่าเลยทีเดียว

track | coma cinema: "come on apathy!" & "only" & "business as usual" (2010)


Coma Cinema: "Come On Apathy!"
Coma Cinema: "Only"
from Stoned Alone (2010)
Coma Cinema: "Business As Usual"
from Blue Suicide (2010)

Coma Cinema เป็นวงอินดี้ป็อปอเมริกันๆ ติดอารมณอัลเตอร์เนทีพเฟื่องฟู ประเภทตีคอร์ดกีต้าร์ไฟฟ้าเปลือยๆ เบส+กลองแบบร็อคมาตรฐาน ไร้เสียงปรุงแต่งทางคอมพิวเตอร์ ฟังเป็นงานซ้อมดนตรีในโรงรถของวัยรุ่นที่ไม่ได้แรงอะไร ไม่ใช่เด็กฟังค์ เด็กต่อต้านโลกอะไร -- ถ้าใครชอบอะไร90sๆ อารมณ์lo-fiนิดๆ โฟล์คหน่อยๆ ละน่าจะโดน

26 August 2010

track | cee-lo: "fuck you" (2010)


Cee-Lo: "Fuck You"
from The Lady Killer (2010)

เพลงบางเพลงมันเกิดมาเพื่อเป็นเพลงฮิตจริงๆ -- Fuck Youเป็นหนึ่งในคำภาษาอังกฤษที่ฮิตที่สุดในโลก... ถูกใช้ซ้ำๆอย่างสะใจเต็มพลังเสียง จินตนาการท่อนฮุตที่ถูกร้องตามซ้ำๆก้องๆลั่นๆ มันช่างสะใจอะไรอย่างนี้ -- ไม่มีอะไรจะพูดมากแล้ว...เพลงมันพูดในตัวเองจนหมดสิ้น -- หลังจากถูกยกย่อง(?)ในฐานะ 'วัน-ฮิต-วันเดอร์'ที่จ๊าบที่สุดของยุค2000sอย่าง "Crazy" (ในนามดูโอ Gnarls Barkley) หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาจะตูมเดียวจอด

23 August 2010

track | sufjan stevens: "all delighted people (original version)" (2010)


Sufjan Stevens: "All Delighted People (Original Version)"
from All Delighted People EP (2010)

เฉลิมฉลองการมีตัวตนอยู่ของเราและเหล่าเพื่อนพ้องร่วมโลกกันเถิด เยส...All Delighted People โหมกระหน่ำด้วยดนตรีที่แสนepic มันยิ่งใหญ่อลังการจนแทบทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเล็กขนาดไหน เปราะบางและต้องเพิ่งพากันละกันมาขนาดไหน ...All delighted people raise their hands ...จินตนาการซิว่าคนมากมายขนาดในหลายมุมโลก กำลังยกมืออยู่ในห้องนอนเหงาๆคนเดียว(โดยมีมีหูฟังเสียบที่หู)

19 August 2010

track | janelle monae: "cold war" (2010)


Janelle Monae: "Cold War"
from The ArchAndroid (2010)

Janelle Monae เป็นศิลปินระดับแกรมมี่ ไม่ควรจะมาอยู่บล็อคดนตรีอินดี้แม้แต่น้อย... แต่อัลบัมของเธอได้รับการยกย่องไปทั่วเว็ปไซต์ดนตรีอินดี้ไปหลายสำนัก ด้วยความทะเยอทะยาน และความแน่นของเนื้อหาทางดนตรี -- "Cold War" เป็นเพลงป็อปโชว์พลังเสียงไต่บิลบอร์ดคุณภาพๆ ที่ผมหามานาน (หลังจากโลกป็อปตกไปอยู่ในมือศิลปินสาวเสื่อมๆ เอ็กซ์ๆ แรงๆ) Janelle Monae เป็นศิลปินหญิงคุณภาพ เสียงเธอสุดยอด ลีลาการเต้นเธอสุดจ๊าบ (ดู: Tightrope) รสนิยมทางดนตรี ความหลากหลายของแหล่งแรงบันดาลใจอันกว้างขวาง -- คอเพลงอย่าพลาด

Blog Archive