เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ

ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog


31 May 2010

track | charlotte gainsbourg: "le chat du café des artistes" (2010)


Charlotte Gainsbourg: "Le Chat Du Café Des Artistes"
from IRM (2010)

Charlotte Gainsbourg อืม...ชื่อเสียงเรียงนามของเธอมันมีอะไรให้พูดเยอะดี จะพูดถึง'พ่อ'?...หรือถึง'แม่'? ...หรือ'ลาร์'? ...หรือ'แบ็ค'? หรือ'เจ้ย'?...โอ้ยมากมายพูดจบก็ฉลาดเลย... -- Le Chat Du Café Des Artistesเป็นเพลงcoverจากต้นฉบับของศิลปินQuebecนาม Jean-Pierre Ferland (แต่งร่วมกับMichel Robidoux-- ขอบคุณพี่วิ) ...บทเพลงที่เปี่ยมด้วยความอลังการแสนclassyราวกับต้องแต่งชุดราตรีฟัง ขณะเดียวกันก็บรรยากาศลึกลับอึมครึมชวนนึกถึงซาวน์แทร็คของภาพยนตร์James Bond...อะไรแบบนั้น -- ซึ่งก็เหมาะสมเข้ากันได้ดีกับน้ำเสียงแบบแผ่วๆเซ็กซี่ๆของCharlotte Gainsbourgที่ทรงสเน่ห์เย้ายวล ถือว่าเป็นแทร็คที่เนี้ยบงดงามที่สุดแทร็คหนึ่งจากอัลบัมล่าสุดของเธอ [อ่านเนื้อที่นี่]

30 May 2010

track | christina aguilera: "elastic love (feat. m.i.a.)" (2010)


Christina Aguilera: "Elastic Love (Feat. M.I.A.)"
from Bionic (2010)

ใช่แล้ว Christina Aquileraกำลังเดินเข้าสู่หนทางแบบ'แนวๆ'กับเขาบ้าง อัลบัมล่าสุดของเธอนั้น เธอร่วมมือกับสาวเท่ห์ๆมากมายอย่างSantigold, Goldfrapp, Ladytron, หรือ Le Tigre... เธอกำลังสละสถานะสาวdivaโชว์พลังเสียงr&b เต้นสะบัดเซ็กซี่กระจาย ...ไปสู่"สาวเก๋"หรือ? จะไหวไหม?

ส่วนM.I.A. ต้องบอกว่าปีนี้...เป็นปีของเธอจริงๆ เอาแค่การอาละวาดของเธอ ไม่ว่าจะวีดีโอสุดโหด งาน3dสุดหลอน โจมตีโอบาม่า โจมตีนักข่าวNYtimes ด่าFacebookกับGoogle(แต่ใช้twitter)หาเรื่องให้ตัวเองเป็นข่าวไปได้ตลอด ในblog gisgisgisของผม ชื่อของเธอถูกtagเป็นอันดับต้นๆของปี โดย80%ไม่ได้มาจากงานเพลง แต่มาจากข่าวบ้าๆบอๆ! (อ้อเธอยังกัดLady Gagaด้วยนะ-- อืมแขวะGaga แต่รัก Christina อืม...)

Elastic Loveคือแทร็คที่ M.I.A.จ๋ามาก (น่าจะเรียกว่าเป็นเพลงของM.I.A ที่ ft. Christina -- ฮา)... ใครที่รักPaper Planesน่าจะเข้าถึงง่าย เสียงแบบแร็ปๆบ่นๆเด็กมีปัญหากวนบาทา ...ท่อนฮุกที่แสนติดหู มีกลิ่นอายนักเลงๆราวกับเวอร์ชั่นรีมิกซ์ของวงฟังค์ ...มีโครงสร้างดนตรีแบบอิเล็กโทรเก๋ๆเซ็กซี่ๆ ประมาณGoldfrapp... Ladytron... -- นี่คือเพลงอิเล็กโทรเดิ้นๆที่แข็งแรงทีเดียว แน่นอนว่าชื่อศิลปินทั้งสองก็มีส่วนเพิ่มความน่าสนใจให้เพลงได้ แต่ว่ากันตามเนื้องานล้วนๆ...ก็ยังเป็นแทร็คที่ไม่ควรพลาด นะ

[listen to the song here]

28 May 2010

track | male bonding: "years not long" (2010)


Male Bonding: "Years Not Long"
from Nothing Hurts (2010)

หลังปีก่อนกระแสว่าnoiseๆจากwest coastของอเมริกากำเนิดขึ้น มีวงเจ๋งๆออกมาเพ่นพล่านมากมาย แต่...เป็นกระแสที่วูบเร็วใช้ได้เลย อย่างน้อยก็สำหรับผม ที่เอียนกีต้าร์แตกๆรกๆ เสียงพล่านๆแสบแก้วหู -- Male Bondingเป็นวงจากลอนดอน แต่ดนตรีนี่มันไม่อังกฤษเลย (เห็นโปสเตอร์ Gun & Rosesในรูปไหม?) นี่มันNirvanaไหมเนี่ย วงสามชิ้นใช้พาวเวอร์คอร์ดหนาๆ หรือจะ Dinosour Jr. ลูกกีต้าร์อินดี้ที่มีเมโลดีติดหู... หรือการร้องแบบอ้อยอิ่งๆจะชวนนึกถึงดนตรีพวกshoegazeก็ได้ -- 'Years Not Long'เต็มไปด้วยดนตรีแบบเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่เมื่อมารวมกัน เกิดซาวน์ที่ไม่ธรรมดาชวนตื่นเต้นราวกับได้ยินซาวน์แบบนี้ครั้งแรก การฟังแทร็คนี้มันช่างเป็นความบันเทิงแบบอึดอัดๆท่ามกลางความลั่กหลั่นยอกย้อนของกลองที่กระหน่ำเต็มความเร็วจนหัวแทบหลุด กับเสียงร้องยานคางเบื่อหน่าย สะใจ! [อ้อ... พวกเขายังมีMusic Videoที่แมนที่สุดแห่งปี]

25 May 2010

track | gigi: "hundredth time" (2010)


Gigi: "Hundredth Time (with Duffy Driediger & Ryan Peters)"
from Maintenant (2010)
[also from Hundredth Time [Single] 2010]

Gigiคืองานรวมดาว โปรเจคที่สดุดีงานดนตรีป็อปบริสุทธิ์ยุค60s ...ยุคที่ความฝันคนหนุ่มสาวเริ่มเบ่งบาน ...Gigiไม่พยายามจะเก๋หรือเท่ห์โดยทำเป็นพูดว่า'ได้แรงบันดาลใจมาจาก...' แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือการเลียนแบบภาษาทางดนตรีที่ถูกทอดทิ้งไปนาน เป็นการพยายามทำให้เหมือนอย่างโต้งๆ -- Hundredth Timeและเพลงอื่นๆในอัลบัมแทบไม่มีอะไรที่ชี้ถึงความเป็นปี2010 มันเหมือนหลุดมาจากกาลเวลาอื่น เสียงนักร้องประสานที่ปูเป็น'แผ่นผนังแห่งเสียง' ที่แม้จะร้องย้ำๆอยู่ว่า'ร้องไห้เป็นร้อยครั้ง' แต่องค์ประกอบทางดนตรีทั้งหลายได้ช่วยประสานโอบกอดให้กำลังใจ ทุกดนตรีและเสียงร้องที่อัดแน่นเบียดเสียดในกำแพงเหล่านั้นหาได้สร้างความอึดอัด แต่กลับสร้างความอบอุ่นแก่เรา เสมือนมีไทม์แมชชีนไว้หนีไปพักผ่อนยามผิดหวังกับชีวิต

22 May 2010

track | villagers: "becoming a jackal" (2010)


Villagers: "Becoming a Jackal"
from Becoming a Jackal (2010)

จ่อคิวรออัลบัมเดบิวของศิลปินโฟล์คจากไอร์แลนด์นามVillagers นำโดยมือกีตาร์และร้องนำยอดความสามารถConor J. O'Brien ที่ผมค้นพบจากคลิปการแสดงสด Jools Hollandทำให้ผมต้องทึ่ง สืบหาข้อมูล ก่อนประกาศว่าจะติดตามผลงานศิลปินนี้ -- Becoming a Jackalซิงเกิ้ลแรกจากอัลบัมในชื่อเดียวกัน เป็นงานดนตรีโฟล์คแบบ60sๆที่สร้างสรรค์ด้วยโปรดักชั่นแสนเนี้ยบ แอบชวนนึกถึงLove และเนื้อหาที่มืดหม่นชวนนึกถึงด้านมืดของวงอย่างBright Eyes -- ทั้งน้ำเสียงกร้านๆนุ่มๆ สไตล์กีต้าร์แบบบุบฝาชนๆ ภาษางามๆสละสลวย (How I benefit from you being here/Lending me your ears while I'm selling you my fears)

20 May 2010

track & music video | hooray for earth: "surrounded by your friends" (2010)


Hooray For Earth: "Surrounded By Your Friends"
from Momo (2009/2010)
[produced by mathematicalpark]

วีดีโอของเพลงSurrounded By Your Friendsช่างคล้ายกับภาพที่ผมจินตนาการตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรกไม่น้อย ช่วงหลังๆเราเห็นงานcoolๆทั้งหลายพยายามเอาวัฒนธรรมVHSกลับมา ...อาจเพราะคนที่เกิดทันยุคนั้นเริ่มแก่จนเกินอารมณ์ถวิลหากัน -- Hooray For Earthเป็นตัวอย่างของการทำอย่างนั้นแล้วไม่น่าเบื่อ ไม่กระแดะ เป็นอารมณ์ขันที่ฮาแต่ก็ชวนขนลุกแบบแปลกๆ

ในแง่เพลง... นี่คือเพลงที่เปี่ยมสีสันสนุกสนาน เต็มไปด้วยจังหวะที่ชวนปรบมือตามหรือหาอะไรมาเขย่าตาม ...โยกตัวซ้ายที-ขวาทีแบบเขินๆ ลองนึกภาพลั้นล่าเฮฮาปาร์ตี้คอสตูม ที่ทุกคนแต่งตัวประหลาดมาแข่งขันกัน สดุดีความเป็นวัยรุ่นรั่วๆและผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต (ตอกย้ำด้วยเนื้อหาของเพลงที่ว่าด้วยการ'เข้าสังคม') เป็นไซคีเดลิกที่โดนป็อปยึดอำนาจ แทนที่ซินธ์จะสร้างความหลอน มันเลยสร้างความdanceแทน -- ท่อนฮุกของเพลง ผ่านกับบิ้วมาอย่างดี ดันไปสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงประสานแสนอลังการ จนทำให้มันเป็นโมเม็นต์ที่ทุกคนสามารถกอดคอกันร้องร่วมกันได้

18 May 2010

track | beck's record club: "need you tonight (inxs cover)" (2010)


Beck's Record Club: "Need You Tonight (INXS Cover)"
(St. Vincent + Liars + Beck)
from Record Club Project 2010

หลังจากBeckและสหายในนาม Record Clubได้กระทำการcoverอัลบัมของ Velvet Undergroundสำเร็จ ...พวกเขาลุยต่อไปยังวงยุค80sนาม INXS (สารภาพว่าผมไม่เคยฟังเพลงของวงนี้เลยก่อนหน้านี้) เริ่มปล่อยคลิปออกมาเรื่อยๆให้ติดตาม -- Need You Tonight เวอร์ชั่นนี้มีสไตล์ดนตรีแบบยียวนๆเก๋าๆเอาเรื่องๆ นำทัพโดยเบสหนักหน่วงย่ำกระแทกๆไปพร้อมๆกับบีตสังเคราะห์แสนมินิมอล เสน่ห์แบบร็อคแอนด์โรลล์ดั่งเดิม+ดนตรีปัญญาชนๆแบบนี้ชวนนึงถึงTalking HeadsยุคแรกๆกับNew Orderนิดๆ -- ยิ่งได้น้ำเสียงแบบโซวล์ๆร้านเหล้าๆของ
St. Vincent ต่อล้อต่อเถียงกับนายAngusจากLiarsเข้าเสริมความเท่ห์ของแทร็คเข้าไปอีก ถึงกับทำให้ผมต้องวิธีripไฟล์เสียงออกจากyoutubeเพื่อจับเพลงนี้ใส่ipodทีเดียว! -- How do you feel/I'm lonely/What do you think/Can't take it all/Whatcha gonna do Gonna live my life -- เก๋าเหี้ยๆ

16 May 2010

track | crystal castles: "baptism" (2010)


Crystal Castles: "Baptism"
from Crystal Castles (2010)

ฺBaptism เป็นส่วนประกอบของซาวน์แบบ 8-bit เกมส์ซูเปอร์มาริโอ้ก๊องแก๊งๆราวกับเอานิ้วจิ้มเครื่องคาสิโอสำหรับเด็ก ซึ่งพวกเขาใช้มันแบบเดียวกับที่วงฟังค์ใช้ริฟท์กีต้าร์ง่ายๆ พร้อมด้วยซาวน์แตกพล่านของเมโลดี้ ทัศนคติแบบ'กูไม่แคร์' และสเน่ห์แบบ'ใต้ดิน'ที่ออกมาจากความดิบหยาบกร้านของดนตรีที่ความล้ำน้อยที่สุดของโลกอิเล็กโทรนิค -- Alice Glassนักร้องนำที่คาแรกเตอร์อยู่เหนือคำจำกัดความเก๋า ประโยคอย่าง "this is your baptism and you cant forgive them" ฟังดูน่าขัน ไร้สาระ และเป็นทางออกที่น่าสมเพชไม่น้อย เมื่อมันถูกลั่นวาจาโดยเธอ -- มาใช้เพลงBaptismจะชำระล้างความวุนวายในหัวท่ากันเถิด โยกหัวแรงๆ แหกปากร้องดังๆ กริ๊ดร้องให้แสบแก้วหู ช่างหัวโลกเฮงซวยใบนี้

15 May 2010

track | guided by voices: "game of pricks" (1995)


Guided by Voices: "Game of Pricks"
from Alien Lanes (1995)

ย้อนอดีตกันบ้าง... กลับไปฟังอเมริกันอินดี้แบนด์ยุค90sอันรุ่งเรืองกัน อารมณ์แบบกีต้าร์แตกๆอัดหยาบๆที่ใต้ถุนบ้าน ซาวน์สกปรกไร้ซึ่งการขัดเกลาราวกับเป็นเดโมส่งให้เพื่อนฟังเล่นๆ ...นั่นคือสิ่งที่พวกท่านคาดหวังได้จากวงตำนานอินดี้อเมริกันวงนี้ อัลบัมBee Thousandของพวกเขา เป็นหนึ่งในอัลบัม lo-fi ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา ...และแม้ผมจะไม่ชอบชุดต่อมา...'Alien Lanes'เท่าชุดที่กล่าวไป แต่Game of Prickอาจถือว่าเป็นแทร็คที่ดีที่สุดของวงก็ว่าได้ -- ความยาวเพียงแค่นาทีกว่าๆ คอร์ดกีต้าร์หนาๆแตกๆตรงไปตรงมาเบียดไปกับเสียงร้องอย่างอู้อี้ สะใจแบบดิบๆแต่ติดหูสุดๆ จบด้วยอารมณ์ทิ้งไว้ให้อยากฟังต่อจนต้องฟังซ้ำ-- And I never asked for the truth... but you owe that to me!!

track | regina: "saanko jäädä yöksi?" (2009)


Regina: "Saanko jäädä yöksi?"
from Puutarhatrilogia (2009/2010)

Regina เป็นวงดนตรีน่ารักๆจากFinlandยังคงใช้ภาษาบ้านเกิดตัวเองในการแต่งเนื้อร้อง แน่นอนว่าชาวไทยทั้งหลายที่ภาษาอังกฤษยังงูๆปลาๆจะไปเข้าใจภาษาฟินแลนด์ได้อย่างไรละครับ -- แต่ภาษานึงที่ทุกคนเข้าใจคือ ภาษาดนตรี(อู้ว) ภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจ -- Saanko jäädä yöksi? มีภาษาดนตรีกุ๊กกิ๊ก ผสมผสามดนตรีโฟล์คเปียโนที่แสนpoppyแบบแอบjazzyนิดๆ กับดนตรีอิเล็กโทรนิคแบบมินิมอลจากความน้อยๆซ้ำๆของริฟ และบีตแบบดรัมแมชชีนกระป๋องๆ -- อนึ่งReginaออกอัลบัมนี้มาตั้งแต่ปลายปี2008 เริ่มโด่งดังในย่านประเทศของพวกเขาในปี2009 จนได้ออกขายในอเมริกาในปีนี้ [ดูmvขาวดำเก๋ๆของเพลงนี้ที่นี่]

14 May 2010

music video | tame impala: "solitude is bliss" (2010)


Tame Impala: "Solitude Is Bliss"
from InnerSpeaker (2010)
[dir. Megaforce]

มิวสิควีดีโอของวงดนตรีออสซี่ ที่สร้างโดยโปรดักชั่นฝรั่งเศส ถ่ายทำในประเทศยูเครน ถ่ายทอดความลั่กลั่นของโศกนาฎกรรมและความน่าขันโชคชะตาออกมาเป็นอารมณ์ชวนขันแบบขำไม่ออก ความเห็นอกเห็นใจที่่มาพร้อมกับความน่าขยะแขยง -- วีดีโอเปิดฉากด้วยการเสียสติของชายที่ทราบข่าวร้ายของครอบครัว การโซเซไร้วิญญาณของเขาถูกแปลเปลี่ยนเป็นการเต้นรำอย่างเมามายพิลึกๆไปตามท้องถนนที่เกลื่อนด้วยซากศพ ผ่านคลื่นมนุษย์ที่ห่าโหมสวนทางเข้ามา ก่อนไคล์แมกซ์อันกระอั่กกระอ่วนในฉาก'เจ้าหมา vs. หมัดลุ่นๆ' ที่อธิบายความรู้สึกขณะชมไม่ถูกจริงๆ -- มันคือวีดีโอที่เศร้า เจ็บปวด แต่นั่นก็คือความน่าขันของความเปราะบางของชีิวิตมนุษย์แลเพื่อนเอ๋ย...

11 May 2010

track | flying lotus: "table tennis (ft. laura darlington)" (2010)


Flying Lotus: "Table Tennis (ft. Laura Darlington)"
from Cosmogramma (2010)

สมัย ม.ปลาย ผมชอบตีปิงปอง... เคยมีไอเดียว่า ไอ้เสียงป๊อกแป๊กของลูกปิงปองกระทบไปมานี่เจ๋งดี น่าจะมีเอาไปทำดนตรีอิเล็กโทรนิคได้ ...มาวันนี้เจอเข้าไป ...Flying Lotusเอาไปทำแล้ว ป็อปแป๊กๆกระเด้งไปมาเป็นจังหวะเท่ห์ๆ โคตรจ๊าบ -- บวกกับเสียงร้องลอยๆ และsoundscapeสังเคราะห์เท่ห์ๆล้ำๆ ที่บดขยี้กันอย่างชวนทะเลาะไปตลอดทั้งเพลง และต้องไม่ลืมพูดถึงเสียงเกากีต้าร์นุ่มๆที่เข้ามาผ่อนความรุงรังอย่างถูกจังหวะ...พอดิบพอดี ช่างเป็นบรรยากาศที่surrealเหลือเกิน -- ถือว่าเป็นแทร็คที่ติดหูที่สุดจากอัลบัมล่าสุดอิเล็กโทรหัวก้าวหน้า ที่มาพร้อมกับแขกรับเชิญชื่อดังมากมาย [และแล้ว Cosmogramma จ่อแถวขึ้นทำเนียบอัลบัมแห่งปีไปอีกหนึ่ง...]

09 May 2010

track | beach house: "zebra" (2010)


Beach House: "Zebra"
from Teen Dream (2010)

อัลบัม Teen Dreamที่ออกเมื่อต้นปี ได้จองพื้นที่(...อย่างน้อย)top threeอัลบัมยอดเยี่ยมแห่งปีไปแล้ว เผลอๆจะเป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ -- Zebra คือแทร็คเปิดอัลบัมที่กล่าวไป ซึ่งถ้าสังเกตุ ปกอัลบัมก็เป็นรูปลายม้าลายนั่นเอง... เป็นแทร็กที่ผมฟังครั้งแรกแล้วก็รู้สึกว่า ธรรมดา...ก็เพราะดี... แต่มันก็ค่อยบ่มๆตัวในกระแสสำนึกเมื่อฟังซำ้ๆไป จนตอนนี้อาจเป็นหนึ่งในแทร็กที่ชอบที่สุดของอัลบัม (ร่วมกับ Norway และ 10 Mile Stereo)

นี่เป็นอีกแทร็คที่เปิดโอกาสให้Victoria Legrandได้แสดงศักยภาพในเสียงร้องของเธอ ที่กว้าง-หนาทรงพลัง แต่อบอุ่น-บางเบาในเวลาเดียวกัน หนึ่งในนักร้องนำหญิงอันดับต้นๆของวงการอินดี้อย่างเป็นทางการ ส่วนกีต้าร์เกาแบบน้อยนิดมหาศาลของAlex Scallyยังคงทำหน้าที่พระรองเปล่งเสียงกีต้าร์ตามแซะเจ้าดรัมแมชชีนที่ไหลอย่างไร้ชีวิตไปตลอดเพลงอย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย -- ลองคลิกดูคลิปเล่นสดมากมายที่หาได้ในyoutubeจะยิ่งทำให้อินกับเพลงนี้ยิ่งขึ้น...

track | diamond rings: "wait and see" (2010)


Diamond Rings: "Wait and See"
from Special Affections (2010)

แต่งตัวทาหน้าทาตาสะดีดสะดิ้งเหมือนBowieยุค70s ร้องเสียงต่ำๆแบบJoy Division แต่ซาวน์เป็นดนตรีป็อปสังเคราะห์เจ็บๆแบบเหมือนหลุดจากอัลบัมรวมฮิตตระกูลNowในยุค90s -- ศิลปินCanadianผู้นี้น่าจับตามองเหลือเกินหลังจากปีที่แล้วปล่อยเพลง/วีดีโอ All Yr Songsที่ช่างชวนนึกถึงวัฒนธรรมvhsแห่งยุครุ่งเรื่องของMtvหลายทศวรรษก่อน ปีนี้Wait and See สานต่อสิ่งที่ผมคาดหวังไว้จริงๆ มันเป็นความฟังค์กระป๋องๆของหนุ่มสำอาง ที่แสนกระอั่กกระอ่วนในความเฉิ่มพิลึกๆราวกับว่าประกาศว่า "ป็อปนั้นฟังค์กว่าฟังค์!" ไหนจะท้วงท่าลีลาด๊านซ์สะดิ้งๆของเขาที่ดูยังไงก็ไม่เก๋า...จนเก๋า (อ้อ... ไอ้ท่อนoutroเทคโนตุ่นๆที่ถูกแปะเข้ามาในตอนท้ายเพลงดื้อๆ ก็เก๋ใช่เล่น-- แผ่นป้ายMichael Jordanท้ายวีดีโอก็ตอกย้ำความเป็นยุค90sได้ชัดเจนจริงๆ)

แถม> Diamond Rings: "All Yr Songs"

track | datenzauber: "datenzauber 1.2" (2010)


Datenzauber: "Datenzauber 1.2"
from Speicher 66 (2010)

ดนตรีminimalๆจากค่ายเทคโนชื่อดังKompakt งานแบบKraftwerkๆที่ไหลไปเรื่อยๆในความเร็วคงที่เสมือนนั่งรถไฟสายยาวๆออกจากเมือง ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่มีความตื่นเต้นเท่านั่งรถไฟเหาะ แต่ความบันเทิงมันอยู่ที่การนั่งมองทิวทัศน์ระหว่างทางต่างหาก ที่แม้จะซ้ำๆโล่งๆ แต่ความแตกต่างน้อยนิดที่ปรากฏเปลี่ยนแปลงไปตลอดทาง มันสามารถก่อร่างเป็นสุนทรีย์เก๋ๆได้ ...ถ้าตั้งใจฟังพอจะค้นพบ -- Datenzauberยังมีอีกแทร็คที่ชื่อ Datenzauber 1.1 ...ถ้าติดใจ 1.2 ลองฟัง 1.1 ได้

07 May 2010

track | dominique young unique: "music time" (2010)


Dominique Young Unique: "Music Time"
from Blaster EP (2010)

เธออายุแค่18-19เท่านั้น เป็นอีกหนึ่งศิลปินฮิปฮ็อปความหวังใหม่ที่น่าจับตาว่าจะแจ้งเกิดแบบสุดๆในปีนี้ (หลังจากปล่อยmv "Show My Ass"ไปเดือนที่แล้ว) ที่สำคัญ...ผมไม่คิดว่าท่านจำเป็นต้องชอบดนตรีแนวนี้ เพราะงานของเธอมีทั้งภาษาแบบดนตรีอิเล็กโทรนิคจ๊าบๆเก๋ๆ ด้วยองค์ประกอบของดนตรีเต้นรำเทคโนๆ ที่เป็นสเน่ห์ของดนตรีอินดี้ร่วมสมัย -- เติมเชื้อเพลงโดยวีธีร้อง/แร็ปที่เปี่ยมด้วยenergyของเธอ ที่พ่นออกมาขับเคลื่อนดนตรีอย่างหยุดไม่อยู่เต็มความเร็ว เหมาะกับการเปิดในปาร์ตี้ทุกโอกาสและสถานที่...เพราะมันเป็นเพลงสุดมันส์ที่ยากที่จะไม่ขยับตัวตาม It's Music Time! I ain't talkin' about no gun! I ain't talkin' about no fight!

05 May 2010

track | the mary onettes: "the night before the funeral" (2010)


The Mary Onettes: "The Night Before The Funeral"
from The Night Before the Funeral single (2010)

จากอินโทรคอร์ดกีต้าร์ที่เจือแอฟเฟ็กวิ้งๆจางๆ ที่ตามมาด้วยเสียงร้องนุ่มๆแต้มreverbบางๆ ก่อนเครื่องสายสังเคราะห์สวยๆจะช่วยประคับประคองดนตรีป็อปสำอางนี้ไปจนจบเพลงได้ ดนตรีจากสวีเดนวงนี้สร้างสรรค์เพลงออกมาให้ชวนนึกถึงดนตรีอินดี้ป็อปจากอังกฤษแบบปลายๆ80s ประเภทวงเล็กๆที่ออกมาอัลบัมเดียว(ที่วางขายด้วยจำนวนจำกัดด้วยนะ)แล้วหายไปจากโลกดนตรี -- ภาวะความหลงยุคนิดๆ ที่เจืออยู่ไปทั่วบรรยากาศของเพลง ก่อร่างสร้างเป็นฉากแห่งความโดดเดี่ยว... หนาวเหน็บ... เงียบงัน... ราวก็ดนตรีเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เหลืออยู่ แต่ขณะเดียวกันก็เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์สวยงามของ'young love'ที่แม้มันจะมาพร้อมกับความอึดอัดและสับสน แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงาม -- It falls apart yeah it falls apart, just like you wanted it to fall apart...

04 May 2010

track | the radio dept.: "heaven's on fire" (2010)


The Radio Dept.: "Heaven's On Fire"
from Clinging To A Scheme (2010)

คำถาม: "ผู้คนมองดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ว่าเป็นวัฒนธรรมคนหนุ่มสาว ...แล้วเมื่อวัฒนธรรมคนหนุ่มสาวโดนผูกขาดโดยองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ...คนหนุ่มสาวจะทำเช่นไร? คุณมีความเห็นว่าอย่างไร?" / คำตอบ: "ผมคิดว่าเราควรจะทำลายไอ้ระบบทุนนิยมจอมปลอม ที่กำลังทำลายวัฒนธรรมหนุ่มสาวซะ!"

นั่นคือประโยคโหมโรงของเพลงที่แสนรื่นรมณ์เพลงนี้ ซึ่งตอนแรกผมก็รู้สึกจั๊กกะจี้ๆ กับคำพูดฮิปปี้ๆของนาย Thurston Moore ที่ถูกแซมป์เข้ามาพอสมควร เพราะดูเหมือนถูกยัดเข้าไปเพื่อความเท่ห์ ด้วยพื้นฐานความเชื่อว่า The Radio Dept. คือวงชิวๆ...ไม่เหมาะกับคำพูดหรูๆ วิชาการอย่างนี้

แต่ฟังไปฟังมา ...เอ๋ Heaven's on Fire ก็กำลังกัดจิกประเด็นนั้นอยู่รึเปล่านะ? "When I look at you, I reach for a piano wire. Fight to keep it together, but it's pointless" ..ไอ้youนี่หมายถึง วงการดนตรีอันเน่าเปื่อยใช่ไหม?ถ้าใช่...นั่นเป็นประโยคที่เหยียดหยามน่าดู แถมมันทั้ง 'no pride' และ 'moving against the tide' ....แถมถูกเรียก(ด่า)ว่า 'charlatans' just out of reach and out of time'

ใช้ได้เลย... โดน... ไม่ใช่แค่ชิวไปชิวมามีเนื้อมีหนังกันทีเดียว ยิ่งฟังซ้ำยิ่งมีอะไรให้ค้นหา แม้โลกจะสิ้นหวังเพราะ It seems like everyone is on your side แต่ถ้ายังมีดนตรีดีๆจาก The Radio Dept. ก็ถือว่ายังมีหวังน่า...

แถม>The Radio Dept.: "David"

01 May 2010

track | wild nothing: "chinatown" (2010)


Wild Nothing: "Chinatown"
from Gemini (2010)

เพิ่งได้ดูวีดีโอของเพลงนี้ไป ทำให้เพลงนี้กลับมาในplaylistผมอีกครั้ง หลังจากเคยถูกเล่นติดๆกันหลายรอบในช่วงต้นปี ในแว้ปแรกผมให้นิยามตอนแรกว่าเป็น 'The Pains of...'ของปีนี้ ตัวดนตรีtweeๆป็อปใสๆกีต้าร์90sๆ ...แต่มันก็มีอารมณ์สเน่ห์บางอย่างเฉพาะตัวที่ทำให้ดนตรีของเขาดู...เป็นความทรงจำฟุ้งๆแปลกๆ -- หลังจากได้รู้จักเขามากขึ้น ทำให้ค้นพบว่าไอ้อารมณ์'คลาสสิคๆ'ที่เจืออยู่ในดนตรีของพวกเขาที่แท้แล้วมาแรงบันดาลของโลกยุค60s ...อย่างวีดีโอนั่นก็เอาคลิปมาจากหนังสั้นปี1969เรื่อง"Clown"ของ Richard Balducci ซึ่งทำให้ผมนึกถึงหนังสั้นเรื่อง Le ballon rouge (1956) ชะมัด -- ในmyspace เขาระบุแรงบันดาลใจของวงว่ามาจากภาพยนตร์เรื่อง 'Blowup' ปี1966 ของ Michelangelo Antonioni ว้าว!!ดนตรีจากคอหนังเพื่อคอหนังอย่างแท้จริง

หมัดสุดท้ายที่น็อคผม ก็คือจะริฟกรุ๊งกริ๊งที่วนลูปไปทั้งเพลง ที่ผมมารู้ว่าไม่ใช่การอัดสด แต่เป็นการsampling เพลงของศิลปินฝรั่งเศสยุค French New Wave นามChantal Goya ในเพลงชื่อ La pluie du ciel --- แม่ง...เท่ห์เหี้ยเหี้ยเหี้ย... ถึงยังไม่ฟังเพลงเจอเบื้องหลังเท่ห์ๆขนาดนี้มันจะอดใจไหวเหรอ...ไปฟังซะ!!

ปล.แถม>Wild Nothing: "Summer Holiday"