เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ

ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog


29 June 2010

live | the morning benders "excuses" (2010)


The Morning Benders: "Excuses"
from Big Echo (2010)

วีดีโอการแสดงสดชิ้นนี้ของ The Morning Benders วนเวียนในโลกอินเตอร์เน็ตมาพักใหญ่ๆแล้ว ...ถ้าใครไม่เคยดูขอประนามว่าท่านเชยเหี้ยๆเลยครับ ...และแม้ผมจะยอมรับว่าเป็นวีดีโอที่ทรงพลังมากๆชิ้นหนึ่ง ถึงขั้นอาจเป็น 'วีดีโอแห่งปี' หรือ 'แห่งทศวรรษ' หรืออะไรก็ว่าไป ...ผมไม่ได้รู้สึกอินกับtrackนี้เท่าไร แม้จะสัมผัสได้ถึงความปราณีตของการเรียบเรียงดนตรีที่แสนสวยงามชิ้นนี้ สุดท้ายผมยังมองว่าสเน่ห์จริงๆของเพลงนี้คือการ 'ร้องไปด้วยกัน' ในบรรยากาศที่เป็นใจ มากกว่าฟังคนเดียวด้วยหูฟังไอพ็อด

จนกระทั่งเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากผมให้โอกาสอัลบัมBig Echoของพวกเขา และตั้งใจฟังอย่างจริงจัง ถึงจะเริ่มหลงรักไอ้ดนตรีแบบอินดี้ร็อคที่รับอิทธิพลดนตรียุค60s โดยเฉพาะWall of Soundที่ฉาบเพลงนี้ซ้อนหลายชั้นบางๆอย่างมีมิติ ว่ากันตรงๆมันเริ่มตั้งแต่เสียง'เข็มจิ้มแผ่นเสียง'ในท่อนอินโทรแล้วละ -- ในที่สุดก็เข้าถึงความงดงามของเพลงนี้จนได้ และอยากให้ทุกท่านได้สัมผัสมันดูเช่นกัน

ป.ล. วีดีโอตัวนี้มีแขกรับเชิญทั้งนักร้องนำจาก Girls, John Vanderslice และศิลปินจากฝั่ง Bay Areaมากมาย

ป.ล. วีดีโอสุดจ๊าบโดยทีมงานคณะ Yours Truly

26 June 2010

track | the books: "a cold freezin' night" (2010)


The Books: "A Cold Freezin’ Night"
from The Way Out (2010)

อารมณ์ขัน กับ ความสะเทือนขวัญ บางครั้งช่างใกล้กันเหลือเกิน... แม้ว่าคนจะฮาครืนกับงานดนตรีทดลองชิ้นนี้ของThe Books อันมาจากความขัดแย้งของเสียงไร้เดียงสาของเด็กซนๆ พูดเรื่องที่แสนโหดร้ายอย่าง 'ฉันจะเอามีดกรีดนายหัวแม่โป้งนาย! แล้วลากยาวให้ถึงสมอง!' โดยมีดนตรีที่ฟังราวกับซาวน์แทร็คประกอบการ์ตูนบัค บันนี่ ซึ่งจะว่าไป ก็เป็นการตูนที่เต็มไปด้วยฉากโหดๆ--- ใช่แล้ว... ความรุนแรงเป็นเรื่องน่าขำ ความพิลึกพิลั่นเหล่านั้นทำให้อดอมยิ้ม หรือกระทั่งฮาก๊ากออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่รู้แก่ในว่าเนื้อหาไม่ใช่เรื่องน่าขำ -- เป็นโสตรสที่แปลกใหม่ท้าทายไม่น้อย

21 June 2010

track | shugo tokumaru: "linne" (2010)


Shugo Tokumaru: "Linne"
from Port Entropy (2010)

อัลบัม Exitของ Shugo Tokumaru เป็นหนึ่งในที่ทำให้ผมสำนึกว่าในยุคนี้เรายังสามารถหาศิลปินที่ ใช้เครื่องดนตรีโฟล์คง่ายๆแต่สร้างสรรค์ดนตรีที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านทักษะ...ความคิดสร้างสรรค์...และความออริจินัล -- แม้จะเป็นงานโฟล์ค แต่ต้องให้เครดิตกับงานโปรดักชั่นแก่งานของShugo ด้วย ...เช่นใน 'Linne' แทร็คจากอัลบัมล่าสุด(ที่ทุกท่านไม่ควรพลาด)Port Entropy ...เสียงเปียโนก็ฟังดูเป็น อะไรตรงกลางระหว่างเสียงเปียโนของเล่นและแกรนด์เปียโนหนาๆอย่างลงตัว จงใส่หูฟัง...แล้วเอียงหูฟังเสียงambientเล็กที่ๆเราแอบได้ยินราวกับกระซิบเบาๆ เป็นการสร้างบรรยากาศที่เพิ่มมิติครื้มๆเย็นๆให้เพลงอย่างลงตัว ไหนจะเสียงหวนๆของเครื่องดนตรีถูกมิกซ์ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเหมือนอยู่ในป่าร่มรื่น ทั้งหมดถูกคุมอย่างอยู่หมัดด้วยเสียงร้องใสๆของนายShugoที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็ซาบซึ้งได้

17 June 2010

track | elite gymnastics: "is this on me?" (2010)


Elite Gymnastics: "Is This On Me?"
from Real Friends (2010)

หนึ่งในสเน่ห์ของการแซมป์เพลงชาวบ้าน คือความท้าทายที่จะ'ซ่อน' 'บิดเบือน' สิ่งที่คนอื่นเป็นเจ้าของ ให้มาเป็นของเขาอย่างชอบธรรม แต่... บางครั้ง การ'ซ่อนไม่มิด' และ 'หลักฐานคามือ' ก็เป็นสเน่ห์เหมือนกัน (ถามพี่ Girl Talkดูได้) -- 'Is This On Me?' ขโมยมาจาก Eyes On Me ของ Faye Wong (aka. หญิงที่เด็กแนวเพศชายทุกคนต้องเคยหลงรัก)ที่ร้องประกอบเกมส์ Final Fantasy มาอย่างโต้งๆ และ ไม่มีความพยายามจะซ่อนใดๆทั้งสิ้น -- โลกดนตรีปัจจุบัน นอกเพลงคนอื่นมาเป็นเครื่องดนตรี เอาทั้งความทรงจำมาเป็นโน้ต เอาความอารมณ์ถวิลหามาเรียบเรียง ว้าว... ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกที่ได้ฟัง/รับรู้/ระลึก สิ่งเหล่านั้นยังไง

>แถม "Real Friends"
> หรือโหลดทั้งอัลบัม Real Friends ฟรีๆที่นี่ (คลิกขวา หรือ คลิกซ้าย)

16 June 2010

track & music video | sginned: "never let you go" (2010)


SGINNED: "Never Let You Go"
from viral video (2010)

เห็นรูปข้างบนไหม? ใช่นั่นคือนายJustin Bieberแหละ โอเค...ทีนี้ไปดูวีดีโอที่ Veoh หรือที่ Tinypic ซะ // ดูจบแล้วใช่ไหม? ...เจ๋งอะดิ -- ที่มาของวีดีโอนี้ ผมเคยโพสไว้เดือนก่อน [ดังนั้นขอก็อปมาเลยละกัน: Caroline Polachek แห่งChairlift และ Jorge Elbrecht แห่งViolens ในนามSGINNED จับเอาเนื้อเพลงป็อปวัยรุ่นของJustin Bieber มาจับหัวชนหางเป็นเนื้อเพลงใหม่ แล้วทำเป็นเพลงใหม่ที่แสนจะแด๊นซ์แสนจะเดิ้น ...ยังไม่พอยัง จับยัดเพลงใหม่ของพวกเขากลับเข้าไปในmvของ Justin Bieber ทำให้ ราวกับนายBieberร้องเองซะงั้น -- หนึ่งในไอเดียที่เก๋สุดๆแห่งปี] -- ตอนนี้เพิ่งเจอลิ้งค์โหลดmp3(ที่นี่ หรือ ที่นี่) บรรจุลงiPod! พร้อมฟังมันอย่างต่อเนื่อง!

14 June 2010

track | tanlines: "real life" (2010)


Tanlines: "Real Life"
from Settings EP (2010)

Tanlinesเป็นอีกวงที่ทำให้เห็นทิศทางของโลกดนตรีช่วงต้นทศวรรษใหม่นี้ชัดเจนขึ้น ...ทั้งอิทธิพลของดนตรีแอฟริกันแบบเพื่อหูเด็กแนวผิวขาว (เก๊ๆ เฟคๆ...แต่เจ๋งอ่า) หากฟังกลองใน'Real Life'ดู จังหวะคึกๆป่าๆ(แต่ฟังดูก็รู้ว่าทำในคอมทั้งน้าน) ราวกับเปิดไตเติ้ลเวิร์ดคัพ2010ที่แอฟริกาใต้ วิธีร้องแบบลากๆโหยๆกู่ก้องๆ...(นึกถึงวงชื่อเดิมๆอย่าง--- AnCo, Yeasayer,...) -- ซินธ์สุดแป๋นออกมาอย่างคาดเดา ทำหน้าที่เสริมความเป็นดิสโก้ๆ การเป็นดนตรีเต้นรำเข้าไป ...ดูเหมือนจะเป็นสูตรที่ลงตัวดีไม่น้อย "ป่าๆ+คอมๆ+แรดๆ"

11 June 2010

track | the tallest man on earth: "the wild hunt" (2010)


The Tallest Man On Earth: "The Wild Hunt"
from The Wild Hunt (2010)

ยิ่งฟังอัลบัมของThe Tallest Man On Earth ก็ยิ่งชอบยิ่งขึ้นทุกครั้งที่ฟัง ว้าว...ทำไมแค่กีต้าร์ตัวเดียวถึงสามารถ'เอาอยู่'ได้ขนาดนี้ ผมพยายามค้นคว้าหาวิธีเล่นกีต้าร์โปร่งของศิลปินโฟล์คจากสวีเดนผู้นี้ จนไปเจอนายคนนี้สอนในyoutubeเขา -- ในเพลง The Wild Hunt เขาใช้วิธีตั้งสายกีต้าร์เป็นระบบสุดประหลาด C-F-C-F-C-F (จากมาตรฐาน E-A-D-G-B-E) ผลคือมันบีบข้อจำกัดในkeyที่จะเล่น แต่เพิ่มโอกาสในการ'เล่นสายเปิด' จะเห็นในวีดีโอว่า เขากดเพียงไม่กี่สาย และมักจะปล่อยสายล่างๆ เป็นสายเปล่าๆไป ซึ่งนำมาซึ่ง 'ความก้องกังวาล'ของเสียง สามารถควบคุมความกว้างของเสียงที่เล่น

...ทำให้จังหวะการสับคอร์ดง่ายๆของเขา ทรงพลังและสามารถควบคุม'การเล่าเรื่อง'ของเพลงได้อย่างดีเยี่ยม ท่อนไหนเกริ่น ท่อนไหนบิ้ว ท่อนไหนไคลแม็กซ์ เรารับรู้จากความหนักเบาในการเล่นของเขา -- ด้วยเทคนิคนี้ ทำให้ท่อนส่งท้ายของเพลง ที่เขาปั่นและรูดมือไปตามคอกีต้าร์รัวๆ มีสำเนียงก้องกังวาลราว กับเครื่องสายบรรเลงประกอบฉากจบภาพยนตร์ -- The Tallest Man On Earth มันจะถูกเปรียบเทียบกับBob Dylanอยู่ตลอด ด้วยที่ว่าวิธีร้องเพลงของเขาช่างเหมือนกับลุงบ็อบเหลือเกิน แต่หลังจากศึกษาการเล่นกีต้าร์ของเขาแล้ว มันเป็นคนละเรื่องกับกีต้าร์โฟล์คตามมาตรฐานของ Bob Dylanมากมายนัก -- สรุปได้ว่า The Wild Hunt อัลบัมที่คอกีต้าร์ไม่ควรพลาด!

07 June 2010

track | lana del rey: "diet mtn dew" (2010)


Lana Del Rey: "Diet Mtn Dew"
from upcoming album (2010)

Diet Mtn Dew หมายถึงอะไร? ทำไมถึงออกมาเป็นเพลงที่นิ่มนวลราวกับจดหมายรักถึงนครนิวยอร์ค ด้วยอารมณ์ถวิลหาบรรยากาศคลาสสิคๆบนท้องถนน...ยามราตรีที่มีเพลงแจ๊ซๆ บลูส์ๆคลอประกอบราวกับฉากในภาพยนตร์ขาวดำ -- น้ำเสียงแบบแหบบางๆ คลุ้งแอลกอฮอลล์นิดๆ ของนักสาวLizzy Grantที่เปรยคำถามอย่างทรงสเน่ห์ว่า "Do you think we'll be in Love forever?" ช่างเย้ายวนในแบบภาพยนตร์สไตล์'femme fatale'เหลือเกิน -- ส่วนผสมของดนตรีอิเล็กทรอนิคในเพลงช่วยสร้างความร่วมสมัย และผลักดันความเหงาและความถวิลหาของโลกดิจิตอลอันแห้งแล้งได้อย่างลงตัว -- วีดีโอแบบ90sๆบ้านๆใจแตกๆเธอก็เพิ่มความเป็นPop Starให้กับเธอด้วยการล้อเลียนความหมายของคำๆนั้นแบบมีคลาส -- " Let's take Jesus off the dashboard...gotta enough on his mind. ..." -- ว้่าว... ยอดเยี่ยมๆ

04 June 2010

track | jens lekman: "black cab" (2003)


Jens Lekman: "Black Cab"
from Oh You're So Silent Jens (2005)
[also from Maple Leaves EP (2003)]

อัลบัมNight Falls Over Kortedala ในปี2007 คืออัลบัมที่ทำให้ผม(และหลายๆคน)รู้จักเขา แต่จริงๆเขาแอบดังในบ้านเกิด(สวีเดน)มาเงียบๆ มีEPออกมาหลายชุดพอตัว ...และผลงานเหล่านั้นจึงถูกรวมออกมาขายอีกครั้ง หลังจากเขาดังระเบิด -- Black Cabคือเพลงเอกจากอัลบัมดังกล่าว ที่ผมค้นพบช้าไปกว่า5ปี.. ที่เรียกว่าเพลงเอกเพราะชื่ออัลบัม 'Oh You're So Silent Jens' คือท่อนนึงในเพลง ...ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่เขาใส่ตัวเอง(นายJens)เข้าไปเป็นตัวละครนึงในเพลง (อย่างที่เราเคยพบใน A Postcard to Nina หรือ Shirin)

Jens Lekman คือนักเล่าเรื่อง เนื้อเพลงของเขาเล่าเรื่องอย่างจริงใจ หลายครั้งมันไร้ซึ่งนัยยะซ่อนเร้น ทุกคำทุกความหมายคือสารที่เขาต้องการจะสื่อ ใคร?ทำอะไร?ที่ไหน? --- Black Cab เปิดฉากด้วยการบ่นพึมพัมอย่างเดียวดายในค่ำคืนหลังงานปาร์ตี้ที่น่าผิดหวัง (oh no, god damn/I missed the last tram/I killed a party again/god damn, god damn) Black Cabคือแท็กซี่สีดำ ที่Jens Lekman บ่นดังๆว่า ช่วยมารับฉันไปไหนก็ไปเหอะ... ถึงจะเป็นฆาตกรโรคจิตก็รับไปฆ่าไปแกงก็เชิญ ...ช่างเป็นอารมณ์เหงาๆที่มีด่านหม่นๆหดหู่ แต่ขณะเดียวกันก็มีอารมณ์ขี้เล่นไปด้วย

ก่อนปิดท้ายอย่างเจ็บแสบ (you don't know anything/so don't ask me questions/just turn the music up/and keep your mouth shut) --- เห็นภาพชายกลิ่นแอลกอฮอลล์ฟุ้งๆ นั่งหลับพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้า และผิดหวัง แม้จะเป็นภาพที่เศร้าสร้อย แต่ความอารมณ์ดีในดนตรีแบบ The Magnetic Fieldsๆ ของเขา ช่วยทำให้ภาพรวมของเพลง มีความหวังว่า เอาน่า...ขำๆ ;)

03 June 2010

track | taken by trees: "anna (ft. noah lennox) [cfcf remix]" (2010)


Taken By Trees: "Anna (ft. Noah Lennox) [CFCF remix]"
from free download (2010)

มันมีความลงตัวบางอย่างในแทร็คนี้ ที่อาจทำให้มันเป็นเพลงที่สวยงามที่สุดแห่งปี2010 -- จากสามประสานดนตรีอินดี้ ด้านหนึ่งคือ Taken By Treeหรือชื่อจริงคือ 'แม่นางVictoria Bergsman' [ผู้เคยประสานพลังกับ อีกสามสหาย ในสุดยอดเพลงอินดี้แห่งยุค00s ] ที่สร้างสรรค์เพลงงาน Annaต้นฉบับได้อย่างแสนงดงาม ด้วยสเน่ห์แบบโฟล์คๆ Belle and Sebastianๆ // บวกกับเสียงร้องประสานของ Noah Lennox คือนาย Panda Bearแห่ง Animal Collective [ผู้ที่--พักหลังๆ...แจมเขาไปทั่ว] ไอ้เสียงยานเมาๆซ้ำๆ 'anna...anna..anna...'มันช่าง...มันช่าง... จิ๊ดเหลือเกิน -- พลังสุดท้ายมาจาก CFCF โปรดิวเซอร์มือรีมิกซ์ตัวเบ้ง หยิบเอาสเน่ห์อินดี้ป็อปอิเล็กโทรแบบจางๆมาลดทอนความเป็นโฟล์ๆลงเพียงแค่เล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น ...ผลคือ ลงตัวเหี้ยๆ ล่องลอย เปี่ยมด้วยสีน้ำโทนฟ้าๆจางๆ ...งดงามจริงๆ ...สวิดิช+อเมริกัน+แคนเนเดี้ยน

02 June 2010

music video | fm belfast: "underwear" (2010)


FM Belfast: "Underwear"

from How To Make Friends (2010)
[dir. Daniel Scheinert & Dan Kwan]

ปีนี้มี music videoเจ๋งออกมาหลายตัว ...ผมพูดถึงในแง่ไอเดียนะ / แต่ในแง่เทคนิเก๋ๆ ผมยังไม่เจออะไรที่เข้าตาเท่าไร จนกระทั่งพบ Underwearโดยศิลปินไอซ์แลนด์นาม FM Belfast ที่งานเพลงของพวกเขาก็ได้ผ่านหูผมมาบ้าง ซึ่งผมก็ว่าอยู่ในระดับ"โอเค" แต่งานวีดีโอตัวนี้นั้นผมให้อยู่ในระดับ'สุดยอดแห่งปี' -- การเคลื่อนไหวดีดดิ้นของเหล่าผู้คนในวีดีโอมันเปี่ยมด้วยความสะใจ มีอารมณ์กวนๆแบบบ้าๆรั่วๆ เทคนิคด้านภาพที่ผ่านโปรแกรมเช่นพวกAfter Effectถูกนำมาใช้อย่างถูกที่ถูกทาง ไม่รก ไม่โชว์เก๋า แต่เสริมความบ้าๆแบบติดดินๆให้กับงานภาพที่เต็มไปด้วยฝีแปรงคอมพิวเตอร์ -- อิทธิพลของวีดีโอมันแรงถึงขนาดว่าฟังเพลงนี้สนุกขึ้นเกิน2เท่าได้เลย -- ว่ากันตามตรง...ผมต้องบอกว่า ผมคงไม่อาจสลัดภาพวีดีโอออกจากหัวขณะฟังเพลงนี้ในipodได้แล้ว เวลาฟังแล้วแม่งอยากออกมาสลัดสลัดสลัด...เหอๆ

การข้อมูลที่อ่านเจอ music videoตัวนี้ถ่ายด้วยกล้อง 7Dและ5D และถ่ายแบบไม่เชิงว่ามีแผนการตายตัว คือเอาฟุตเตจมาให้มากๆ แล้วมาปรุงในคอมพิวเตอร์ ใส่แอฟเฟ็กให้สนุกมือ จนกว่าจะได้ภาพที่ถูกใจ -- เยี่ยม! นี่แหละความสนุกในการทำงาน!

track | arcade fire: "month of may" & "the suburbs" (2010)


Arcade Fire: "Month of May"
Arcade Fire: "The Suburbs"

from The Suburbs (2010)

โอเค... เราทุกคนรักArcade Fire ผมยังไม่เคยเห็นเกลียดวงนี้ เราต่างรอคอยอัลบัมใหม่ อัลบัมแรกของพวกเขาคืออัลบัมclassicของยุค00s อัลบัมที่สองคืออัลบัมคุณภาพแห่งปี ใช่...เรารออัลบัมใหม่มาหลายปี แต่เฮ้ย! ชอบ"Month of May" และ "The Suburbs"กันจริงๆเหรอ? ผมว่ามันช่าง...ไม่คุ้มค่าการรอคอยเลย...ไม่...ไม่ใช่เพลงที่แย่ เป็นเพลงที่ดี เป็นเพลงที่ปราณีต แต่...ไร้ซึ่งความลึกทางจิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิง

Month of May เป็นงานที่มันส์ดี คอร์ดกีต้าร์หนาๆแตกๆแบบ'ขับมอไซพุ่งไปสู่สวงสวรรค์'90sๆแบบOasisๆ ทางคอร์ดแบบbluesๆไม่ต่างอะไรกับวงอย่างBRMC เคยทำ(ซึ่งทั้งสองวงที่อ้างมา ...สำหรับผมคือวงที่'ตายไปแล้ว' -- แม้ผมจะยังชอบอัลบัมเก่าๆของพวกเขาก็ตาม) ผมอยากจะเปรียบเปรยกับวงอย่าง The Ramonesอะไรอย่างนี้เหลือเกิน แต่Month of Mayมันยังไม่ถึงขั้นนั้น มันไม่ใช่ฟังค์ มันเป็นอารมณ์แบบวงอินดี้ที่อยากฟังค์ซักหนอยู่

อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นสวนทางกับหลายคนตรงที่ว่า ผมว่าMonth of Mayเป็นเพลงที่ดีกว่า The Suburbsทั้งๆที่ The Suburbsมีความเป็น'Arcade Fireๆ'มากกว่า --- เพลงนี้มีคอร์ดที่รื่นรมณ์ เมโลดี้ที่น่ารัก แต่ไร้ซึ่งความลึก มันแบนราบไปเรื่อยๆ ไร้พื้นที่ให้จินตนาการต่อ แม้กระทั่งเสียงของของWin Butlerก็ฟังดูไร้หัวจิตหัวใจ...กลายเป็นเสียงแบบนักร้องอินดี้ดาดๆ ...ถ้าไม่มีชื่อArcade Fireแปะอยู่ หลายคนคงฟังแล้วก็ลืม

สรุปว่า ผิดหวังกับทั้งสองเพลงพอสมควร หวังว่าอัลบัมที่กำลังจะออกมาจะเต็มไปด้วยเพลงที่ดีกว่านี้ หรือ มีองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมจนผลักดันพลังของเพลงเหล่านี้ออกมาได้ เพราะอย่างไรผมยังยืนยัน "เราทุกคนรักArcade Fire ผมยังไม่เคยเห็นเกลียดวงนี้"

[ฟัง Month of Mayที่นี่ / The Suburbs ที่นี่]