เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ

ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog


20 September 2010

track | the national: "afraid of everyone" + "runaway"+ "lemonworld" (2010)



ผมสอยอัลบัม High Violetของ The Nationalมาฟังอย่างผิดกฏหมายได้ช่วงหนึ่งแล้ว สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับวงนี้ ...ก็ควรไปทำตัวให้คุ้นได้แล้ว The Nationalเป็นวงร็อคที่แสนจะ...ธรรมดา ผิดจากอุดมคติของนักดนตรีร็อคโดยสิ้นเชิง ดนตรีของพวกเขาห่างไกลจากคำว่า'ปฏิวัติวงการ' หรือ 'แหกคอก' ว่ากันตรงๆมันคือเพลงป็อป C-Am-F-G ธรรมดาไม่ต่างจากดนตรีจากค่ายแกรมมี่ -- สมาชิกวงล้วนเป็นชายวัย30up ที่มีครอบครัวกันเกือบหมด หลายคนยังเคยทำงานออฟฟิตพร้อมกับเล่นดนตรีไปด้วย -- พวกเขาสุภาพ แต่งตัวเรียบร้อย ไม่มีอะไรทำลายล้าง ไม่มีทางที่เราจะสกีนรูปวงมาแปะในเสื้อยืดให้เท่ห์ได้

สำหรับเนื้อ เพลงของพวกเขา ...งดงาม -- ล้วนเป็นเนื้อหาเรียบๆ เล่าด้วยภาษาง่ายๆ แต่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเหนือชั้น มันทำให้เราเข้าใจ...แต่ไม่ทั้งหมด ทิ้งอะไรให้คิด แล้วปลดปล่อยอารมณ์ให้ซาบซึ้ง -- ในบทสัมภาษณ์ของพวกเขา นักร้องนำผู้เป็นคนเขียนเนื้อได้บอกว่า เขาตั้งใจทำเนื้อเพลงให้กำกวมนิดๆ เพื่อให้ผู้ฟังใส่ประสบการณ์ส่วนตัวลงไปเติมเต็ม ...บอกตรงๆว่าเลือกเพลงที่จะพูดถึงยากมาก แต่เอาว่าตัดสินใจคัดมา3เพลงให้คนที่อยากเริ่มต้นฟังอัลบัมใหม่ของพวกเขาแต่เริ่มไม่ถูก จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น

The National: "Afraid of Everyone"
from High Violet (2010)

เป็นที่รู้กันว่าอัลบัมที่แล้วของพวกเขา Boxerในปี2007 สะท้อนภาวะโลกในยุคที่สหรัฐเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว ผ่านมุมมองของแบบสุขุมของคนชนชั้นกลางวัยทำงานอย่างพวกเขา ...อย่างเพลง Fake Empireที่ตั้งคำถามแกมเย้ยหยันภาวะความเป็นผู้นำโลกจอมปลอมของสหรัฐ ...หรือเพลงที่ชื่อโต้งๆอย่าง Start A Warที่คงไม่ต้องอธิบายอะไร

มาชุดนี้ ธีมเหล่านั้นยังคงปกคลุมอยู่ แต่ในแง่มุมที่แตกต่างไป แน่นอนว่ายังเป็นการมองโลกในแง่ร้ายอยู่ คำว่า"Afraid of Everyone"ครานี้ อาจจะไม่ได้อยู่ในความหมายของ'รัฐใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือที่ทำให้ประชาชนยอมให้รัฐทำอะไรก็ได้ (แบบในสมัยBush)'ซะทีเดียว แต่ดูเหมือนจะเป็นการสะท้อนความรู้สึกในชาวอเมริกัน(โดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยม)ที่กำลังโดนตบหน้าฉาดใหญ่จากความ"Change"ที่เข้าสู่ประเทศนี้อย่างสายฟ้าแลบ พวกเขามีผู้นำประเทศเป็นคนผิวไม่ขาว คนแรกในประวัติศาสตร์ (ประวัติศาสตร์อันแสนสกปรก)

จะเห็นว่าชาวอเมริกันจำนวนมากกำลังตกอยู่ในความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ และ จนเกิดเป็นmovementที่ดูชวนขัน(แต่จุกจนตลกไม่ออก)มากมาย ถูกกล่อมจากการชวนเชื่อของสื่อขวาจัดที่ต่อต้านรัฐบาลนี้ ยัดเยียดเรื่องไร้สาระที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากประเทศนี้ (เช่นว่าประธานธิบดีผิวดำผู้นี้ไม่ใช่ชาวอเมริกันที่แท้จริง เป็นมุสลิม และ เป็นคอมมิวนิส)

ผมรู้สึกขนลุกกับท่อนท้ายเพลง ที่เขาร้องอย่างเจ็บปวดซ้ำๆว่า "Your voice is swallowing my soul, soul, soul" และรู้สึกgetความรู้สึกนี้อย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะได้มาอยู่ในสังคมไทย ที่เต็มไปด้วยความกลัวและความขัดแย้ง บางครั้งคำพูดของหลายๆคน จากหลายๆฝ่าย (ทั้งจากสื่อ และ จากคนรอบข้าง) มันก็กัดกินวิญญาณของเราๆเข้าไปเรื่อยๆ จนเหลือเป็นเพียงหุ่นเชิดโง่ๆ ที่ขยับตัวและขยับปากตามผู้เชิด [listen]

The National: "Runaway"
from High Violet (2010)

"there's no savin' anything (and) i was swallowing the shine of the sun" พวกเขาจั่วหัวแบบอารมณ์ตัดพ้ออย่างสิ้นหวัง 'มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย' ...การ'กลืนแสงสว่าง' เหมือนจะสะท้อนถึงการค่อยทำลาย'แสงสว่างปลายทางแห่งคำตอบ' ที่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งหดหาย น้อยลง...น้อยลงไป... "but i won't no runaway 'cause i won't run" แต่กระนั้น เราก็ยังไม่ทิ้งไปไหน เพราะเราไม่ยอมแพ้

"what makes you think i'm enjoyin' being led to the flood? we got another thing comin' undone" ประโยคคำถามที่ถูกบิ้วขึ้นมาอย่างแยบยลจนเราไม่ได้ตั้งตัวก่อนที่ถ้อยคำ เหล่านี้จะถูกประมวลผลในหัว -- มันพูดถึงสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้อง เมื่อเราต่างโดนยัดเยียดให้เข้าไปอยู่ในกระแสของความขัดแย้งอันเชี่ยวกราด ทั้งที่ต่างรู้ดีกว่า ยังมีปัญหามากมายค้างคาอยู่ ...."คิดหรือว่าข้าพเจ้ามีความสุข?"

"we don't bleed when we don't fight" มองแว้บแรก ...คือการเรียกร้องให้อยู่เฉยๆและกลับสู่ความสงบ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ แต่เมื่อพิจารณาทั้งบริบทแล้ว ผมมองว่า มันเป็นการ'fight'กับปัญหา กล่าวคือ เราพร้อมที่จะสู้กับปัญหาโดยตรง จะไม่หนีไป และจะผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ด้วยกัน "go ahead go ahead throw your arms in the air tonight" -- "go ahead go ahead throw your shirts in the fire tonight" [listen]

The National: "Lemonworld"
from High Violet (2010)

ไม่มีอะไรจะกัดจิกความเป็นคนเมือง คนทำงาน คนปัญญาชน ได้เท่าการกัดจิกตัวเองแล้ว ประโยคที่แสนจะclicheอย่าง "So happy I was invited. Give me a reason to get out of the city" เป็น'ความฝันหวานๆ' ของคนเมืองอย่างเราๆทุกคนอยู่แล้ว โอ้วอยากไปทะเล โอ้วอยากไปเห็นป่า ทุ่งนานั้นช่างสดใสเหลือเกิน ไปปายกันเถิด (ซึ่งเอาเข้าจริงๆสุดท้ายก็กลับมาตายรังที่เมืองอยู่ดี-- และจะมีซักที่คนที่เคารพความเป็นชนบทอย่างจริงใจ)

แต่ประโยคที่จิ๊ดที่สุดคือท่อน "But it'll take a better war to kill a college man like me" หลังจากที่ท่อนก่อนหน้านี้ เขาพูดถึงเหล่าพี่น้องทหารอเมริกาที่สละชีพในสงครามขณะที่คนมีการศึกษาอย่างพวกเขายังสามารถมีชีวิตชิวๆเหงาๆในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์คได้ ...มีอะไรจะแสบกว่านี้ได้อีก -- สงครามแค่นี้ไม่ได้สะเทือนอะไรพวกเราได้เลย นอกจากเป็นแค่ประเด็นเก๋ๆที่เราได้ใช้มันถกเถียงโชว์ความเป็นปัญญาชนกับเพื่อนพ้อง

"This pricey stuff makes me dizzy. I guess I've always been a delicate man" หรือ "I was a comfortable kid. But I don't think about it much anymore." หรือ "I'm too tired to drive anyway, anyway right now" ตอกย้ำความไร้ค่าจำเจของชีวิตคนเมืองอย่างขมขื่น โอ้วฉันช่างอ่อนไหว โอ้ววัยเยาว์ของฉันหายไปไหน โอ้วชีวิตนี้มันช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่แท้จริงมันก็ไม่ใช่อะไรนอกจาก การหมกหมุ่นกับเรื่องของตัวเอง ในโลกแคบๆของตัวเอง ตัดขาดจากการ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ในโลกความจริงที่โหดร้ายกว่าหลายเท่านัก ...ภูมิคุ้มกันที่แสนอ่อนแอในโลก Lemonworld [listen]

No comments:

Post a Comment