เนื่องจากเริ่มไม่ค่อยมีเวลาอัพเดต2บล็อคพร้อมๆกันแล้ว
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ
ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog
เลยตัดสินใจหยุดการอัพเดตบล็อคนี้
แล้วรวมไปกับเว็ป GISGISGISเลยดีกว่า...ดังนั้นจากเป็นต้นไป
ตามอ่านได้ที่เว็ป GISGISGIS ที่เดียวนะครับ
ขอบคุณครับ : )
http://gisgisgis.blogspot.com
http://www.facebook.com/GISGISGISblog
27 February 2010
track | tegan and sara: "alligator" (2009)
Tegan and Sara: "Alligator"
from Sainthood (2009)
Tegan and Sara เป็นศิลปินอินดี้ที่ด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง ผมไม่ค่อยใส่ใจที่จะนั่งฟังจริงจังเท่าไร ด่วนตัดสินว่าเป็นงานที่มีความน่าสนใจระดับกลางๆ ไม่มีอะไรแย่ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ -- สิ่งที่จะติดตาติดใจผมที่สุดก็คือ... สองสาวนี่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดี (ใช่แล้ว... ข้าพเจ้ายึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก)
แต่แล้วทันทีที่music videoตัวนี้ออกมา ภาพงานดนตรีอินดี้-เก๋ๆ-แนวๆ-ดีดกีต้าร์เก๋าๆของพวกเธอที่ผมวาดไว้ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นดนตรีป็อปปี้ๆแดนซ์ๆที่มีเมโลดี้ติดหูสุดฤทธิ์ และเมื่อบวกกับท่าเต้นน่ารักๆแบบเด็กแนวแอ็บแบ้วของพวกเธอในวีดีโอ ชวนให้ผมคิดถึงดนตรีป็อปวัยทีนที่ตั้งเป้าขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตบิลบอร์ดอะไรแบบนั้นไปได้
แต่กระนั้น ความ'เด็กแนว'ของพวกเธอก็ไม่ได้ประนีประนอมลงจนน่าตกใจอะไร ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงนี้ก็นึกถึงดนตรีแดนซ์แบบ Daft Punkที่ลดทอนเสียงสังเคราะห์และทดแทนด้วยเครื่องดนตรีมาตรฐาน กลองเบสกีต้าร์เปียโน ...สรุป เป็นดนตรีอินดี้เก๋ๆที่แสนติดหู สดใส น่ารัก ฟังแล้วครื้นเครงหัวจิตหัวใจคนแก่ดีนัก
25 February 2010
track | kings of convenience: "homesick" (2004)
Kings of Convenience: "Homesick"
from Riot on an Empty Street (2004)
ในวาระที่ดูโอคู่นี้จะเดินทางมาเล่นสดที่กรุงเทพมหานคร เลยถือโอกาสรำลึกความหลังที่ผมมีต่อพวกเขาเล็กน้อย ย้อนไปยังปี2004ครั้งผมยังเป็นหนุ่มมหาลัย ผมยังจำความรู้สึกครั้งยืนฟังเพลงฟรีที่บูทร้านCD Warehouse ณ. Siam Discoveryได้ดี -- Homesickคือแทร็คแรกของอัลบัม Riot on an Empty Street ที่วางอยู่มุมหนึ่งในร้านนั้น (และความจริงที่ว่่่า CD Warehouse ไม่อยู่แล้ว ยิ่งตอกย้ำความ 'Homesick'เข้าไปอีก -- หรือ ความจริงที่ว่า 'ปัจจุบันคนเลิกซื้อCDแล้ว' ก็ด้วย)
การฟังเพลงนี้ ณ.เวลานั้น วัยนั้น การได้สัมผัสสองเสียงแสนนุ่มที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์ ('two soft voices blended in perfection') เจอคำน่ากลัวๆพูดถึงอนาคตวัยทำงานอย่าง 'I lose some sales and my boss won't be happy' หรือการพูดถึงเสียงในหัวที่ร่ำร้องโหยหวนออกมา พูดถึง 'วัยเยาว์'ในกระจกที่ถาม'what are you doing here' ความฝันนายไปไหน? -- มันช่างสะเทือนอารมณ์เหลือเกิน กระตุ้นหลากคำถามไร้สาระปุดเข้ามา 'เฮ้ยกูทำไรอยู่วะ? แล้วกูจะทำอะไรต่อไปดีวะ?' รู้สึกถึงความหวาดหวั่นต่อความไม่มั่นคงในอนาคต
มาฟังวันนี้อารมณ์ 'Homesick Cause I no longer know What home is' ก็ยังคงมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนรูปร่างไปบ้าง แต่มันก็ยังอยู่ และเพลงนี้(ที่จะว่าไปเป็นเพลงที่ไม่ดังเท่าไร ไม่ค่อยถูกพูดถึง-- จนบางทีผมรู้สึกว่าผมเป็น'เจ้าของ'เพลงนี้) ยังคงวนเวียนในplaylistแห่งชีวิตผมอยู่เรื่อยๆ มันอาจไม่ใช่เพลงที่โคตรเยี่ยม อาจจะไม่ใช่เพลงที่ดีที่สุดในอัลบัมด้วยซ้ำ แต่มันมาได้ถูกที่ถูกเวลาในจังหวะชีวิตผมพอดี เข้าผังลึกและไม่วันจะจางหายไป
20 February 2010
track | the knife: "colouring of pigeons" (2010)
The Knife: "Colouring Of Pigeons"
[ft. Mt. Sims and Planningtorock]
from Tomorrow, In a Year (2010)
อย่าให้ความยาวเกิน10นาทีของเพลงนี้ทำให้พวกท่านแขยง อย่าปล่อยให้introซ้ำๆเนิ่บนาบทำให้ท่านถอดใจ เพราะท่านกำลังจะพลาดหนึ่งในแทร็กที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของปี2010ไปได้ ...The Knife กลับมาแล้ว หลังจากเราได้อิ่มเอิ่มกับงานเดี่ยวของFever Rayเมื่อปีที่แล้ว พวกเขากลับมาพร้อมประกาศว่าจะกลับมาพร้อมกับโปรเจคดนตรี+opera สุดหรู แค่นี้ก็ทำเอาข้าพเจ้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว
การฟังเพลงนี้ตื่นเต้นราวกับการเดินทางไปในยุโรปยุคกลาง ท่ามกลางบรรยากาศเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เสียงอันทรงพลังยิ่งใหญ่ราวกับบทสวด กลิ่นสาบของป่าและความไม่น่าไว้ใจของภูติผีแม่มด แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีความซ้ำ/ความเท่า/ความเป็นเครื่องจักร/ ในแบบฉบับของThe Knife สร้างบรรยากาศของดนตรีอิเล็กโทรนิคสังเคราะห์เข้าไป จนเกินสเ่น่ห์ชวนขนลุกอย่างแปลกประหลาด
Colouring Of Pigeonแสดงถึงความทะเยอทะยานและความหยิ่งทนงออกมาอย่างแรงกล้า ยิ่งฟังซ้ำยิ่งกระแทกอารมณ์ ...หวังว่าจะทำให้ท่านๆรู้สึกว่าต้องหาอัลบัมเต็มของพวกเขามาฟังให้จงได้...
18 February 2010
track | beach house: "10 mile stereo" (2010)
Beach House: "10 Mile Stereo"
from Teen Dream (2010)
ยากที่ท่านจะเกลียด Beach House แต่ง่ายที่ท่านจะเบื่อพวกเขา -- ความสัมพันธ์ของผมกับBeach Houseจะว่ากันตรงๆก็ถือว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ -- "ตกลงมึงจะเล่นแนวเดียวไปตลอดเลยเหรอ?" -- แต่อัลบัม Teen Dream ของพวกเขาให้คำตอบที่หนักแน่นกับผมว่า พวกเขาได้ข้ามไปอีกขั้นแล้ว // และโมเมนต์ที่พีคที่สุดอัลบัมก็คือแทร็คที่8ของพวกเขา -- พูดภาษาคอหนังก็ต้องบอกว่า เลี้ยวเข้าสู่องค์ที่สามของเรื่องพอดี
มันเปิดด้วยลูกกีต้าร์ที่แสนminimal สร้างบรรยากาศฟุ้งๆด้วยการเกากีต้าร์หรือดีดทีละสายเนิ่บๆ มากกว่าจะเพิ่งพาreverbหรือเครื่องแอฟเฟ็ตหรูหรา -- ไม่ช้าเสียงของVictoria Legrandก็เข้ามาควบคุมภาคดนตรีของเพลงโดยสิ้นเชิง เข้ากันได้ดีกับเสียงซินธ์ที่ไหลคลอไปพร้อมกับเสียงร้องของเธอ -- ซินธ์ง่ายๆด้วยสำเนียงที่ถ่อมตน แต่สามารถก็ทำหน้าที่ราวกับscoreของวงออสเคสตร้า เพิ่มความหรูหรายิ่งใหญ่ให้บทเพลงอย่างสมบูรณ์
10 Mile Stereo พาเราไปยืนบนหน้าผาสูงชัน ก่อนจะร่วงหล่นราวกับก้อนหินที่ถูกปา ไหลลงไปช้าๆสู่คลื่นมหาสมุทร -- 'cause this heart is a stone, and this is a stone that we throw' -- อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่การเริ่มต้น ดรัมแมชชีนตีเราสู่โลกใหม่ เสียง'ฉ่า!!'ซาบซ่าของมันที่ลั่นพร้อมกับร้องเสียงหวยโหน อดให้นึกถึงภาพใบหน้าของเราทิ่มลงสู่สายน้ำที่เยือกเย็นไม่ได้ -- It can't be gone, we're still right here -- มันฟังดูสวยงาม แต่ก็เศร้าสร้อยราวกับโลกหลังความตาย ความกำกวมในเนื้อเพลงพาเราสัมผัสกับความสับสนในช่วงเวลาสุดท้ายที่เราร่วงหล่นจากผาสูง
ไคลแมกซ์ของเรื่องมาถึงเมื่อเธอเปล่ง 'Tear a moment from the days that carry us on forever' หลังจมดิ่งอยู่ช่วงเวลาใหญ่ๆ แรงส่งของคลื่นทะเลได้ตีเราขึ้นกลับสู่ผิวน้ำ ให้สูดอากาศหายใจลึกๆเต็มปอด-- นี่ไม่ใช่เล่นๆ... ไม่ใช่อินดี้ป็อปเล่นๆ ไม่ใช่เพลง'ลอยๆ'ให้เด็กแนวหลับตาพริ้งฟังด้วยใจ -- นี่เป็นเพลงpopซีเรียสๆมีเืนื้อมีหนัง ชวนนึกถึงยุครุ่งเรื่องของดนตรีป็อป70s -- บรรยากาศแห่งเสียงที่มันสร้าง นั้นมาจากโครงสร้างที่มีที่มาที่ไป หนักแน่นและแข็งแรง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังสามารถเปิดช่องให้เราจินตนาการไม่รู้จบได้ -- จะเรียกร้องอะไรจากดนตรี'ป็อปลอยๆ' ได้มากกว่านี้อีกหรือ?
17 February 2010
track | the antlers: "two (buffetlibre remix)" (2010)
The Antlers: "Two (Buffetlibre Remix)"
free download (2010)
อัลบัม Hospice ของ The Antlers ติดอันดับยอดเยี่ยมแห่งปี2009ไปทั่ว (รวมทั้งลิสต์ของผมด้วย) ในแง่ดนตรี พูดตรงๆว่าไม่ได้ซับซ้อนแปลกใหม่อะไร แต่จุดเด่นของพวกเขาคือ 'เนื้อร้อง' อันแสนคมคา่ย เรียงร้อยเรื่องราวของความรักแสนเศร้าระหว่างหนุ่มที่ทำงานในโรงพยาบาล กับ หญิงสาวที่ป่วยทางจิต(โรคสองบุคลิก) ไม่ค่อยได้เห็นคอนเซ็ปอัลบัมแบบ'เล่าเรื่องๆ' 'ดราม่าๆ' อย่างนี้มานานแล้วในช่วงหลังๆ
ต้นฉบับเพลง Two ถือ เป็นเพลงเด่นของพวกเขาในอัลบัมนั้น ห้วงทำนองมันบิ้วอารมณ์บีบหัวใจเหลือเกิน เนิบๆนาบๆด้วยคอร์ดกีต้าร์ที่ย้ำซ้ำๆ บวกด้วยเสียงร้องอ้อยอิ่งที่จมใต้กีต้าร์และเครื่องดนตรีอื่นๆ -- ฟังจบแล้ว...ต้องอดใจหายไม่ได้ มันช่างหดหู่มืดหม่นเสียจริง
แต่แล้ว ...มันก็โดนremixโดยBuffetlibre ดีเจจากสเปน -- ฮะฮะฮ่า บีตมันส์ๆ+เบสตึบๆสุดสนุก เข้ามาทดแทนความหม่นซะ กลายเป็นเพลงดิสโก้ป็อปซะงั้น ด้วยทางคอร์ดที่อำนวยอยู่แล้ว มันจึงถูกจับแต่งตัวใหม่อย่างง่ายดาย แต่ิสิ่งที่การรีมิกซ์ไม่สามารถเปลี่ยนได้คือเนื้อร้องแสนเศร้านะซิ ผลคือ ความขัดแย้งแปลกๆ ให้เราเต้นท่ามกลางความตายของหญิงสาว -- เยี่ยมไปเลย
track | ke$ha:"tik tok" (2010)
Ke$ha:"Tik Tok"
from Animal (2010)
เชี่ย... เพลงเชี่ยไรเนี่ย... แม่งดูขยะเหี้ยๆ... แต่ติดหูห่าๆ!! เป็นดั่งที่ยายนี่พ่นด้วยสำเนียง/กระแดะ/แรด/ใจแตก/ไว้ว่า"Don't stop, make it pop"จริงๆ -- นี่หล่อนจะมาไม้ไหน? เธอไม่ใช่teen popแบบ Miley Cyrusอะไรงี้แน่ๆ ...ไม่ใช่สาวพังค์หม่นๆแบบพวกวงอีโมชัวร์ๆ ...แล้วก็ไม่ใช่พญาอินทรีตัวแม่แบบLady Gaga -- เธอเหมือนกับตัวแทนวัยรุ่นอเมริกันใจแตกแรดๆมั่นๆคนหนึ่ง ที่อยากทำไรก็ทำ กูไม่แคร์ ขอกูเด่นไว้ก่อน กูสะใจกูชอบ วู้ฮู้!!สะจาย!! เละเทะไร้รสนิยมมากมาย(ตัว$ในชื่อเนี่ย? คิดว่าเท่ห์เหรอ?)
แต่... แต่...แต่... ชอบวะ (ไม่เรียกว่าGuilty Pleasureด้วย ...ไม่เอาน่า ชอบก็บอกว่าชอบไปเลยท่าน) เพลงนี้ของKe$haมันจี้จุดจนถึงแก่นจริงๆ เรียกว่าไม่บันยะบันยังอะไรแล้ว เนื้อร้องก็ แทบจะไร้ลีลาใดๆ ใส่กันตรงๆเลยเรื่องจู๋ๆจิ๋มๆไม่มีมาำทำตัวเป็นกวี เหมือนตะโกนใส่หน้าเราว่า"กูขยะจะทำไมวะ อย่าเสือก" แทบจะเป็นการเสียดสีตัวเองไปในตัวอยู่แล้ว ลองดูMusic Videoของเธอประกอบ ไปด้วยซิ มันอย่างกับการแสดงห่วยๆโอเวอร์ๆสุดๆให้รู้ไปเลยว่าห่วย อย่างกับเพื่อล้อเลียนตัวเอง(และล้อเลียนสังคมอเมริกัน--อู้ว....ลึก- mvจบที่ธงชาติอเมริกันด้วยนะ--อู้ว) ความรู้สึกของผมคือ: ดูรอบแรก--ห่วยวะ ดูรอบสอง--แม่งตลกวะ ดูไปเรื่อยๆ-- เริ่มจะหดหู่นะนั่น
สรุป... เป็นประสบการณ์ฟังเพลงที่สะใจเหี้ยๆ ผ่านไปซักพักผมอาจจะเกลียดเพลงนี้ก็ได้ แต่ ณ. ตอนนี้มันสร้างความสะใจให้ผมอย่างดีเยี่ยม ขอซูฮก
ปล. ดู/ฟัง งานของเธอแล้วทำให้นึกถึงงานของUffie
16 February 2010
track | the drums: "don't be a jerk, jonny" (2009)
The Drums: "Don't be a Jerk, Jonny"
from Summertime EP (2009)
ผมกำลังรออัลบัมเต็มของวงแสนชุ่มฉ่ำนามว่าThe Drumsอยู่ -- วงที่นำอารมณ์ป็อปบริสุทธิ์แบบ80sๆcollegeๆอังกฤษๆCureๆSmithsๆกลับมาพร้อม กับดนตรีลั้นลาแบบ60sๆชายหาดๆเก๋าๆกวนๆ -- ตอนนี้ก็ได้แต่ฟังEPของพวกเขาไปพลางๆก่อน -- สำหรับผมความเจ๋งของเพลง "อย่ามาเกรียนน่า! บักจอน" คือเมโลดี้ที่โคตรไร้เดียงสา เราจับทางได้ตั้งแต่โน้ตตัวแรกในคอร์ดแรกแล้วละ แต่พวกท่านจะพบว่า เนื้อหากลับสวนทาง แอบหลอกด่าได้อย่างแสบทรวงนัก -- ภาพรวมของมันคือเพลงพ่อแง่แม่งอนธรรมดา แต่ทั้งพ่อทั้งแม่เล่นกันแรงๆอย่างเช่น"I know you're stupid, I know it's sad" หรือท่อนโปรดของผม "you used to be so pretty/but now you're just tragic/believe in something/you're full of horseshit"-- ฮ่าๆๆๆ
เสมือนการกัดแรงๆด้วยหน้ายิ้มเฟคๆ แต่สุดท้ายคงต้องบอกว่ามันคือเพลงที่อารมณ์ดี ปกคลุมด้วยความมองโลกในแง่ดี อย่างท่อนที่ร้อง "It's out of love" และมีเสียงโต้กลับจากเสียงประสานของสุภาพสตรี ว่า "No it's not" ต่อล้อต่อเถียงไปตลอดทั้งท่อน ช่างเป็นการ'รักหยอก'กันไปอย่างชื่นอารมณ์จริงๆ
track | surfer blood: "swim" (2010)
Surfer Blood: "Swim"
from Astro Coast (2010)
นี่คือเพลงที่โคตรเยี่ยม โคตรเยี่ยมวะ! โดนใจผมตั้งแต่ฟังครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว มันเปิดฉากด้วยการกระหน่ำคอร์ดกีต้าร์ดุๆแมนๆหนักๆ ภาพไตเติ้ลหนังมาโชๆยุค80sโหม เข้ามาในโสตประสาทของข้าพเจ้า พลังของDistortionของกีต้าร์ไฟฟ้าและReverbของเสียงร้องรวมตัวกันเป็นก้อน แน่นๆฟาดใส่เราเต็มๆ จนอยากโชว์มือขวาแล้วโยกตามจังหวะคอร์ดแท่ด!!แท๊ด!!แท่ด!!แท๊น!!แด๊น!! -- เอาเล้ย... โลกยุคหลังปี2000มันก็มีแต่การรีไซเคิ้ลของเก่าๆอยู่แล้วนิ ได้เวลาที่เราจะเอาวงกีต้าร์ฮาร์ดๆกลับมาบ้างแล้วละ -- กระนั้น Surfer Bloodก็สามารถทำให้เพลงมีความร่วมสมัยได้ด้วยองค์ประกอบแบบ'อินดี้ๆ'จากลูก กีต้าร์และpercussionเก๋ๆ กลบความเป็น"ปลาย80ต้น90"ลงไปได้จนพ้นคำครหาว่าเป็นวงย้อนยุคอย่างสิ้นเชิง -- พวกเขาคือวงปี2010แท้ๆ
ผมประทับใจในความที่มันเปี่ยมด้วยจิต วิญญาณแบบยิ่งใหญ่ๆแข็งแรงๆแมนๆแบบวงร็อคคลาสสิก(ซึ่งหายากเข้าไปทุกทีในวง การเพลงอินดี้ ที่เต็มไปด้วยวงเนิร์ดๆเกย์ๆฉลาดๆติสต์ๆ) เสี่ยงต่อการตกหลุมแห่งความเห่ยอย่างง่ายดาย(จำThe Darkness ได้ไหมพรรคพวก?) แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้อย่างสง่างาม
บรรจุเพลงนี้ในipodของท่าน และฟังมันยามต้องการความหึกเหิม เอ้า!! Swim! To Reach The End!!
ป.ล. ได้ดูคลิปเล่นสดบางคลิปไป รู้สึกว่าพลังแห่งreverbหายไปเยอะเลย
Subscribe to:
Posts (Atom)
Blog Archive
-
▼
2010
(145)
-
▼
February
(8)
- track | tegan and sara: "alligator" (2009)
- track | kings of convenience: "homesick" (2004)
- track | the knife: "colouring of pigeons" (2010)
- track | beach house: "10 mile stereo" (2010)
- track | the antlers: "two (buffetlibre remix)" (2010)
- track | ke$ha:"tik tok" (2010)
- track | the drums: "don't be a jerk, jonny" (2009)
- track | surfer blood: "swim" (2010)
-
▼
February
(8)