ในวาระที่ดูโอคู่นี้จะเดินทางมาเล่นสดที่กรุงเทพมหานคร เลยถือโอกาสรำลึกความหลังที่ผมมีต่อพวกเขาเล็กน้อย ย้อนไปยังปี2004ครั้งผมยังเป็นหนุ่มมหาลัย ผมยังจำความรู้สึกครั้งยืนฟังเพลงฟรีที่บูทร้านCD Warehouse ณ. Siam Discoveryได้ดี -- Homesickคือแทร็คแรกของอัลบัม Riot on an Empty Street ที่วางอยู่มุมหนึ่งในร้านนั้น (และความจริงที่ว่่่า CD Warehouse ไม่อยู่แล้ว ยิ่งตอกย้ำความ 'Homesick'เข้าไปอีก -- หรือ ความจริงที่ว่า 'ปัจจุบันคนเลิกซื้อCDแล้ว' ก็ด้วย)
การฟังเพลงนี้ ณ.เวลานั้น วัยนั้น การได้สัมผัสสองเสียงแสนนุ่มที่ประสานกันอย่างสมบูรณ์ ('two soft voices blended in perfection') เจอคำน่ากลัวๆพูดถึงอนาคตวัยทำงานอย่าง 'I lose some sales and my boss won't be happy' หรือการพูดถึงเสียงในหัวที่ร่ำร้องโหยหวนออกมา พูดถึง 'วัยเยาว์'ในกระจกที่ถาม'what are you doing here' ความฝันนายไปไหน? -- มันช่างสะเทือนอารมณ์เหลือเกิน กระตุ้นหลากคำถามไร้สาระปุดเข้ามา 'เฮ้ยกูทำไรอยู่วะ? แล้วกูจะทำอะไรต่อไปดีวะ?' รู้สึกถึงความหวาดหวั่นต่อความไม่มั่นคงในอนาคต
มาฟังวันนี้อารมณ์ 'Homesick Cause I no longer know What home is' ก็ยังคงมีอยู่ อาจจะเปลี่ยนรูปร่างไปบ้าง แต่มันก็ยังอยู่ และเพลงนี้(ที่จะว่าไปเป็นเพลงที่ไม่ดังเท่าไร ไม่ค่อยถูกพูดถึง-- จนบางทีผมรู้สึกว่าผมเป็น'เจ้าของ'เพลงนี้) ยังคงวนเวียนในplaylistแห่งชีวิตผมอยู่เรื่อยๆ มันอาจไม่ใช่เพลงที่โคตรเยี่ยม อาจจะไม่ใช่เพลงที่ดีที่สุดในอัลบัมด้วยซ้ำ แต่มันมาได้ถูกที่ถูกเวลาในจังหวะชีวิตผมพอดี เข้าผังลึกและไม่วันจะจางหายไป
Colouring Of Pigeonแสดงถึงความทะเยอทะยานและความหยิ่งทนงออกมาอย่างแรงกล้า ยิ่งฟังซ้ำยิ่งกระแทกอารมณ์ ...หวังว่าจะทำให้ท่านๆรู้สึกว่าต้องหาอัลบัมเต็มของพวกเขามาฟังให้จงได้...
10 Mile Stereo พาเราไปยืนบนหน้าผาสูงชัน ก่อนจะร่วงหล่นราวกับก้อนหินที่ถูกปา ไหลลงไปช้าๆสู่คลื่นมหาสมุทร -- 'cause this heart is a stone, and this is a stone that we throw' -- อย่างไรก็ตามมันเป็นแค่การเริ่มต้น ดรัมแมชชีนตีเราสู่โลกใหม่ เสียง'ฉ่า!!'ซาบซ่าของมันที่ลั่นพร้อมกับร้องเสียงหวยโหน อดให้นึกถึงภาพใบหน้าของเราทิ่มลงสู่สายน้ำที่เยือกเย็นไม่ได้ -- It can't be gone, we're still right here -- มันฟังดูสวยงาม แต่ก็เศร้าสร้อยราวกับโลกหลังความตาย ความกำกวมในเนื้อเพลงพาเราสัมผัสกับความสับสนในช่วงเวลาสุดท้ายที่เราร่วงหล่นจากผาสูง
ไคลแมกซ์ของเรื่องมาถึงเมื่อเธอเปล่ง 'Tear a moment from the days that carry us on forever' หลังจมดิ่งอยู่ช่วงเวลาใหญ่ๆ แรงส่งของคลื่นทะเลได้ตีเราขึ้นกลับสู่ผิวน้ำ ให้สูดอากาศหายใจลึกๆเต็มปอด-- นี่ไม่ใช่เล่นๆ... ไม่ใช่อินดี้ป็อปเล่นๆ ไม่ใช่เพลง'ลอยๆ'ให้เด็กแนวหลับตาพริ้งฟังด้วยใจ -- นี่เป็นเพลงpopซีเรียสๆมีเืนื้อมีหนัง ชวนนึกถึงยุครุ่งเรื่องของดนตรีป็อป70s -- บรรยากาศแห่งเสียงที่มันสร้าง นั้นมาจากโครงสร้างที่มีที่มาที่ไป หนักแน่นและแข็งแรง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังสามารถเปิดช่องให้เราจินตนาการไม่รู้จบได้ -- จะเรียกร้องอะไรจากดนตรี'ป็อปลอยๆ' ได้มากกว่านี้อีกหรือ?
ผมกำลังรออัลบัมเต็มของวงแสนชุ่มฉ่ำนามว่าThe Drumsอยู่ -- วงที่นำอารมณ์ป็อปบริสุทธิ์แบบ80sๆcollegeๆอังกฤษๆCureๆSmithsๆกลับมาพร้อม กับดนตรีลั้นลาแบบ60sๆชายหาดๆเก๋าๆกวนๆ -- ตอนนี้ก็ได้แต่ฟังEPของพวกเขาไปพลางๆก่อน -- สำหรับผมความเจ๋งของเพลง "อย่ามาเกรียนน่า! บักจอน" คือเมโลดี้ที่โคตรไร้เดียงสา เราจับทางได้ตั้งแต่โน้ตตัวแรกในคอร์ดแรกแล้วละ แต่พวกท่านจะพบว่า เนื้อหากลับสวนทาง แอบหลอกด่าได้อย่างแสบทรวงนัก -- ภาพรวมของมันคือเพลงพ่อแง่แม่งอนธรรมดา แต่ทั้งพ่อทั้งแม่เล่นกันแรงๆอย่างเช่น"I know you're stupid, I know it's sad" หรือท่อนโปรดของผม "you used to be so pretty/but now you're just tragic/believe in something/you're full of horseshit"-- ฮ่าๆๆๆ
เสมือนการกัดแรงๆด้วยหน้ายิ้มเฟคๆ แต่สุดท้ายคงต้องบอกว่ามันคือเพลงที่อารมณ์ดี ปกคลุมด้วยความมองโลกในแง่ดี อย่างท่อนที่ร้อง "It's out of love" และมีเสียงโต้กลับจากเสียงประสานของสุภาพสตรี ว่า "No it's not" ต่อล้อต่อเถียงไปตลอดทั้งท่อน ช่างเป็นการ'รักหยอก'กันไปอย่างชื่นอารมณ์จริงๆ