D/Em/C/Em คือคอร์ดสี่คอร์ดที่วนไปตลอดทั้งเพลง ...อืมสมกับคำสร้อยท้ายชื่อเพลงที่ว่า 'ทำนองอันไร้เดียงสา' (Naive Melody)จริงๆ -- นี่คือเพลงที่มีโครงสร้างที่เรียบสุดๆจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะรองรับเนื้อหาที่แสนยิ่งใหญ่...คำยากๆอย่าง'ความหมายของชีวิต' หรือ 'ความสุขของชีวิตคืออะไร?'ไว้ได้ ...พร้อมดื่มด่ำไปกับดนตรีซินธ์ กีต้าร์ฟังค์ตุ่นๆ เสียงร้องหน่อๆของDavid Byrne ฟังแล้วรู้สึกว่า อ่า...โลกนี้ช่างสวยงามและเปี่ยมไปด้วยความหวังเหลือเกิน ช่วงชีวิตเล็กๆของเรานั้นโชคดีเหลือเกินที่ได้มีส่วนร่วมในเสี้ยวเล็กๆในประวัติศาสตร์ของจักรวาลอันยาวไกล ยิ่งได้ดูวีดีโอคอนเสิร์ตStop Making Senseในตำนานแล้ว... ภาพDavid Byrneเต้นรำกับโคมไฟยิ่งตอกย้ำว่ารอบตัวเรานั้นมีแต่ความมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะจากเพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติ หรือสิ่งของไร้ชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้น ...มาเถิด เต้นรำกับโคมไฟใต้ทำนองอันไร้เดียงสา ..."I'm just an animal looking for a home Share the same space for a minute or two"... (ปล. ชมเวอร์ชั่นcoverโดย Arcade Fire ที่นี่ และอีกเวอร์ชั่นจ๊าบๆ...ที่นี่ )
ผมรู้จัก Big Star ครั้งแรกจากลิสต์500เพลงยอดเยี่ยมตลอดกาลที่จัดโดยRolling Stonesเมื่อหลายปีก่อน และแปลกใจที่ว่า วงชื่อสุดเห่ยที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนวงนี้ ทำไมถึงมีเพลงติดถึงสามเพลง ทั้งๆที่ออกมาเพียง3อัลบัม -- หลังจากทำความรู้จักกับพวกเขา ทำให้ผมสำนึกว่า วงนี้สมควรถูกยกย่องมากกว่านี้หลายเท่านัก
ในวาระที่ Alex Chiltonเสียชีวิต ผมต้องพูดถึงหนึ่งในงานของเขาในวง Big Star(แต่งร่วมกับ Chris Bell)เพลงที่สะท้อน"การก้าวข้ามสู่วัย" ได้งดงามที่สุดเพลงหนึ่งในประวัติศาสตร์ร็อคแอนด์โรลล์ มองผ่านสายตาไร้เดียงสา ...พูดให้ชัดกว่านี้ เพลงนี้คือด้านบริสุทธิ์ของโลกร็อคแอนด์โรลล์ แนวดนตรีที่เป็นที่พึ่งทางใจให้คนหนุ่มสาวมาหลายยุคสมัย -- ขอสดุดีต่อคุณค่าของจิตวิญญาณร็อคแอนด์โรลล์ "...Won't you tell your dad, "Get off my back" / Tell him what we said 'bout 'Paint It Black' / Rock 'n Roll is here to stay / Come inside where it's okay / And I'll shake you. "